ปม ‘อายัดบัญชี’ สะท้อนรอยรั่ว‘รัฐ-แบงก์’

ปม ‘อายัดบัญชี’ สะท้อนรอยรั่ว‘รัฐ-แบงก์’

ปัญหาการอายัดบัญชีธนาคารที่เกิดขึ้นช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องเล็กที่จะมองข้ามผ่านไปได้ หากกำลังบานปลายเป็นวิกฤติความเชื่อมั่นครั้งใหญ่

    ประชาชนผู้มีบัญชีธนาคารที่บริสุทธิ์จำนวนมากกลายเป็นผู้เสียหาย เงินที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานถูก “แช่แข็ง” โดยที่เจ้าของบัญชีไม่รู้ตัว สร้างความเดือดร้อนทั้งต่อครอบครัวและธุรกิจ ผลพวงทั้งหมดสืบเนื่องจากปัญหา “บัญชีม้า” และ “ขบวนการมิจฉาชีพ” ที่ยังปักหมุดประเทศไทยเป็นตลาดหลัก และปัญหานี้ก็ไม่เคยถูกแก้ไขได้อย่างเป็นรูปธรรม 
    น่าตั้งคำถามว่า ทำไมปัญหาที่สังคมรู้จักกันมานาน และถูกหยิบยกเป็นวาระสาธารณะอย่างต่อเนื่อง กลับยังไม่ถูกจัดการให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ท่ามกลางยุคเอไอที่ “ความฉลาดแกมโกง” ของมิจฉาชีพถูกพัฒนาขึ้นทุกวินาที มีกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่พร้อมสร้างผลกระทบให้เราคาดไม่ถึงอยู่ทุกวัน แต่หน่วยงานรัฐและสถาบันการเงินไทย ยังคงแก้ปัญหาแบบ “ตามหลัง” แทนที่จะ "วิ่งนำหน้า” หากเรายังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ ประชาชนจะไม่เพียงสูญเสียเงินทอง แต่ยังสูญเสียศรัทธาต่อระบบธนาคารและมาตรการคุ้มครองของรัฐไปพร้อมกัน

หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น แบงก์ชาติ สมาคมธนาคารไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ รวมถึง ‘รัฐบาลไทย’ ไม่สามารถปัดภาระความรับผิดชอบนี้ออกไปได้อีก ทุกฝ่ายต้องทำงานเชื่อมโยง เพื่อวางมาตรการที่เข้มข้น โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ธนาคารยุคใหม่ต้องมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างแม่นยำ ระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบเอไอที่ถูกนำไปใช้ ไม่ควรเป็นข้ออ้างให้เกิดการอายัดบัญชีแบบเหมารวมทำให้ผู้บริสุทธิ์เดือดร้อน ขณะที่รัฐบาลต้องเร่งสร้างกลไกเยียวยาที่ชัดเจน และเป็นธรรมสำหรับผู้ที่ถูกผลกระทบอย่างไม่ตั้งใจ

  สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางดิจิทัล” ให้ประชาชน ปัญหานี้จะไม่มีวันหมดไป หากคนทั่วไปยังถูกหลอกด้วยวิธีการเดิมๆ ที่ปรับเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเพียงเล็กน้อย การให้ความรู้เรื่องการป้องกันภัยไซเบอร์ต้องเข้มข้นและตรงเป้า เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุที่ยังไม่คุ้นเคยกับธุรกรรมออนไลน์ หรือคนทำงานที่เร่งรีบจนเผลอตอบรับข้อความหลอกลวง รัฐและสถาบันการเงินต้องลงทุนกับการสื่อสารในเชิงรุกเพิ่มขึ้น
    รัฐบาลในฐานะผู้กำหนดทิศทาง ต้องแสดงบทบาทที่ชัดเจน การตั้งคณะทำงานหรือการประชุมโต๊ะกลมไม่เพียงพอแล้ว สิ่งที่ประชาชนต้องการเห็น คือ มาตรการจริง เช่น ระบบแจ้งเตือนธุรกรรมผิดปกติแบบเรียลไทม์ กระบวนการตรวจสอบและปลดล็อกบัญชีที่มีความรวดเร็วและยุติธรรม ที่สำคัญคือการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด เพื่อจัดการกับขบวนการบัญชีม้าให้สิ้นซาก นี่คือภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลและสถาบันการเงิน เพราะความเสียหายในเลเวลถัดไป อาจไม่ได้มีเพียงตัวเลขในบัญชี แต่ยังหมายถึงความเชื่อถือในสถาบันและเสถียรภาพของเศรษฐกิจทั้งประเทศ

ที่มา.  https://www.bangkokbiznews.com/blogs/business/economic/1198888