เปิดรายชื่อ 7 หุ้นเด่น
หลุมหลบภัยในช่วงตลาดผันผวน
.
ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับปัจจัยกดดันทั้งจากประเด็นการเมืองที่ต้องติดตามความชัดเจนต่อเนื่อง และการประกาศงบไตรมาส 2/66 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังมีสถานะเป็นขายสุทธิ ส่งผลให้ช่วงนี้อาจเห็นภาพของดัชนีที่ผันผวน วันนี้ Wealthy Thai จึงมี 8 หุ้นเด่นในธีม Commodity, Defensive ปันผลสูง และ Earning Momentum มาแนะนำ เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุน หลบความผันผวนของตลาดหุ้นไทยช่วงนี้
.
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า เริ่มต้นเดือนส.ค. ตลาดหุ้นไทยกลับมาเผชิญกับช่วงสุญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง และยังเป็นช่วงประกาศงบการเงินงวดไตรมาส 2/66 ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินว่าจะลดลงทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลง 2.4% (จากช่วงต้นเดือนส.ค.) จากระดับ 1,556 จุด ลงมาเหลือ 1,518 จุด พร้อมกับ Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออก 1.17 หมื่นล้านบาท (จากช่วงต้นเดือนส.ค.)
.
หากดูรายละเอียดในหุ้นขนาดใหญ่ พบว่า หุ้นที่ลงแรงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นถูกกดดันจากสุญญากาศทางการเมือง แต่หุ้นที่ Outperform หรือแข็งแรงกว่าตลาดในช่วงนี้ เป็นหุ้น Defensive อย่างหุ้นโรงพยาบาล, หุ้น Earning Momentum และหุ้นอิงกับ ราคา Commodity
.
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเอนเอียงน้ำหนักมาที่ 1. หุ้นอิงกับราคา Commodity เป็นหลัก ได้แก่ PTTEP, TOP 2. หุ้น Defensive ปันผลสูง ได้แก่ ADVANC, SCB, AP และ 3. หุ้น Earning Momentum ได้แก่ PLANB, ERW ส่วนหุ้นอิงกับประเด็นทางการเมือง หากย่อตัวลงมาลึกและนำค่อยๆ ทยอยสะสมในช่วงใกล้กับการโหวตนายกฯ อีกครั้งหนึ่ง
.
สำหรับ PTTEP บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การที่บริษัทปรับเป้าปริมาณขายปี 2566 เป็น 464 KBOED (พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน) จากเดิมที่ 456 KBOED ไม่ได้ส่งผลให้ประมาณการกำไรปีนี้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงแนวโน้มปริมาณขายที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังตามการเร่งตัวของแหล่งเอราวัณ และไม่มีปิดซ่อมของแหล่งมาเลเซีย ไม่ได้เหนือกว่าคาด ประเมินปีนี้มีกำไรสุทธิ 61,943 ล้านบาท ลดลง 12.63% จากปีก่อน
.
ทั้งนี้คงมุมมองแรงหนุนราคาหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากความคืบหน้าการขยายการลงทุน คงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมาย 173.50 บาท จากปัจจัยบวกระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวในช่วงก.ค.-ส.ค. 66 ตามความคาดหวัง supply น้ำมันดิบโลกตึงตัว จากการลดกำลังการผลิตของซาอุฯ และความต้องการใช้ในจีนฟื้นตัว รวมถึง upside จากโครงการระหว่างสำรวจฯ และการเข้าซื้อแหล่งใหม่
.
TOP บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อภาพรวมครึ่งปีหลัง โดยคาดว่ากําไรไตรมาส2/66 จะตํ่าสุดในปีนี้ และจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง หลังค่าการกลั่นสิงคโปร์ปรับเพิ่มเป็น 5.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในกลางเดือนก.ค. เทียบจุดตํ่าที่ 3.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนเม.ย. ส่วนต่างราคาดีเซลจะแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง จากการส่งออกของจีนที่ลดลงและปริมาณสต็อกที่ตํ่าในสิงคโปร์ (ตํ่าค่าเฉลี่ย 5 ปี)
.
ด้านส่วนต่างราคาเบนซินคาดได้แรงหนุนจากอุปสงค์ตามฤดูกาลจากสหรัฐฯ (ฤดูขับขี่ท่องเที่ยว) และอุปสงค์เชื้อเพลิงอากาศยานที่ฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ ในด้านอุปสงค์คาดว่าการเติบโตของยอดขายเบนซินจะได้แรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลที่สูงขึ้น และเชื้อเพลิงอากาศยานที่ได้อานิสงส์จากจํานวนเที่ยวบินที่มีมากขึ้น (65%-75% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19)
.
ขณะที่คาดว่ายอดขายดีเซลจะอ่อนตัวลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนในปี 2566 สืบเนื่องจากอุปสงค์ในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ลดลง ประเมินกำไรสุทธิปี 25666 ที่ 14,341 ล้านบาท ลดลง 56.10% จากปีก่อน คงคําแนะนํา ซื้อ ราคาเป้าหมาย 64 บาท
.
ADVANC บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า กำไรครึ่งปีแรกมีสัดส่วนราว 49% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2566-2567 ไว้ที่ 28,182 ล้านบาท โต 8% และ 29,451 ล้านบาท โต 5% ตามลำดับ โดยเชื่อว่า ADVANC จะ Outperform ตลาดได้เพราะมีปัจจัยหนุนระยะสั้น จากกําไรไตรมาส 2/66 ที่ออกมาโตทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ส่วนระยะถัดไปกําไรช่วงครึ่งปีหลังยังดูมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องจากรายได้ที่คาดจะเติบโตดีขึ้น และค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลง
.
รวมทั้งยังมี Upside จากโครงการที่รออยู่ทั้งในระยะกลาง-ยาว เช่น เตรียมเข้าซื้อ บมจ. ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) และเข้าถือหุ้นในกองทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม จัสมิน (JASIF) รวมทั้งโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างบริษัท, สิงเทล และบมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นได้ เมื่อแต่ละโครงการมีความคืบหน้ามากขึ้น คงเป้าหมายไว้ตามเดิมที่ 243.00 บาท
.
SCB บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมุติฐาน Credit Cost ปี 2566 ขึ้นเป็น 1.5% จาก 1.4% เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงระมัดระวังต่อพอร์ตลูกหนี้รายย่อย ทั้งนี้ภายใต้ประมาณการใหม่คาด SCB จะมีกำไรสุทธิ 45,254 ล้านบาท โต 20.5% จากปีก่อน โดยมองว่าเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นเรื่องของผลดำเนินงาน หลังล่าสุดมี ROE กลับมาที่ระดับ 10% ครั้งแรกในรอบ 3 ปี
.
และมีแนวโน้มเร่งขึ้นต่อตามสัดส่วนการเติบโตของธุรกิจใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนสูงส่วน Credit Cost ที่เพิ่มขึ้นมองว่ายังอยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จากมูลค่าพื้นฐานใหม่ปี 2566 ที่ 140 บาท จึงคงคำแนะนำ ซื้อ เลือกเป็น Top Pick กลุ่มธนาคาร
.
AP บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดผลประกอบการครึ่งปีหลังจะเติบโตทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและครึ่งปีแรก โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญ คือ การเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ 2 โครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ในไตรมาส 3/66 ได้แก่ The Address สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,800 ล้านบาท (ขายแล้ว 39%) และ Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ มูลค่า 1,200 ล้านบาท (ขายแล้ว 88%)
.
นอกจากนี้ ในครึ่งปีหลังยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 40 โครงการมูลค่ากว่า 52,000 ล้านบาท จึงมองว่ายอดพรีเซลมีแนวโน้มสูงที่จะเร่งตัวขึ้นจากครึ่งปีแรก และบริษัทจะสามารถบรรลุเป้าหมายพรีเซลปี 2566 ที่ 58,000 ล้านบาท โดยประเมินกำไรสุทธิปีนี้ที่ 6,090 ล้านบาท โต 3.62% จากปีก่อน คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 14.10 บาท
.
PLANB บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า คาดผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรกและช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเข้าไฮซีซั่นของธุรกิจสื่อ OOH ฝ่ายวิจัยคาด Utilization rate จะปรับเพิ่มจากเฉลี่ย 67.4% ในครึ่งปีแรกเป็น 70% ขณะที่ธุรกิจ Engagement Marketing จะบันทึกรายได้จากการแข่งขันเอเชียนเกมส์ส่วนที่เหลือจำนวน 200 ล้านบาท ในเดือนก.ย. 66 เทียบกับไตรมาส 2/66 ที่รับรู้รายได้ 50 ล้านบาท
.
ทั้งนี้คาดผลประกอบการปี 2566 ของ PLANB จะเติบโตเด่นกว่าอุตสาหกรรม ตามการเติบโตของสื่อ OOH และการรุกธุรกิจ Engagement รวมถึงการรับรู้รายได้จาก AQUA เต็มปี จึงประเมินกำไรสุทธิ 870 ล้านบาท โต 23.76% จากปีก่อน พร้อมปรับคำแนะนำจาก เก็งกำไร เป็น ซื้อ ราคาเป้าหมาย 9.80 บาท
.
โดยมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มกำไรปีนี้ที่คาดเติบโตดีต่อเนื่องและ Outperform กลุ่ม ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสวนทางผลประกอบการที่เติบโตดี จึงเป็นจังหวะในการกลับเข้าลงทุน
.
ปิดท้ายที่ ERW นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 3/66 ฟื้นตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลัง COVID-19 คลี่คลาย และฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้าตาม seasonality โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับประมาณการปี 2566 เพิ่มขึ้น 19% มาที่ 650 ล้านบาท จากขาดทุน 278 ล้านบาท ในก่อน ซึ่งสะท้อนผลประกอบการที่ดีในไตรมาส 2/66 โดยเฉพาะการยืน ADR ได้ในระดับสูง
.
อย่างไรก็ตามถึงแม้ราคาหุ้นอาจผันผวนตามประเด็นการเมือง แต่มองเป็นเพียงปัจจัยกดดันระยะสั้นและไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานระยะกลาง-ยาว ประเมินสามารถซื้อตอบรับแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 ที่ออกมาดี รวมถึงกำไรในไตรมาส 3-4/66 คาดโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ฝ่ายวิจัยจึงปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ และราคาเป้าหมาย 5.70 บาท
