Wellness Economy: เมื่อ "ค่ารักษา" ไม่ใช่ภาระ แต่คือโอกาสใหม่ของเศรษฐกิจไทย
ไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เกือบ 1 ใน 3 ของประชากร จะมีอายุมากกว่า 60 ปี โดยจำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าจำนวนการเสียชีวิตต่อเนื่อง สะท้อนการเข้าสู่ “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society)” อย่างเต็มรูปแบบ
ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างเบาหวาน ความดัน หัวใจ มะเร็ง
ที่วันนี้คิดเป็น 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมดในประเทศ และสร้างภาระต้นทุนเศรษฐกิจระดับหลายแสนล้านบาทต่อปี
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “คนไทยจะอายุยืนขึ้นแค่ไหน” แต่คือ “เราจะยืนได้อย่างแข็งแรงและเติบโตจากโครงสร้างที่กำลังเปลี่ยนไปนี้ได้อย่างไร”

โลกกำลังเข้าสู่ยุค Wellness Economy เต็มตัว
กระแส Wellness ไม่ได้เป็นเพียงไลฟ์สไตล์อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นเศรษฐกิจใหม่ระดับโลก มูลค่ากว่า 6.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะโตเป็น 9.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2029 ขยายตัวเร็วกว่าการเติบโตของ GDP โลกเกือบ 2 เท่า
อุตสาหกรรมนี้ครอบคลุม 11 กลุ่ม ตั้งแต่แพทย์ป้องกันโรค โภชนาการ ฟิตเนส สปา สุขภาพจิต รีทรีท ไปจนถึง Wellness Real Estate และบริการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งหมดสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่ “ย้ายจากการรักษา ไปสู่การป้องกัน” และเชื่อว่า “สุขภาพคือการลงทุน”
ไทย: จากวิกฤตเชิงโครงสร้าง สู่โอกาสเศรษฐกิจ 1.4 ล้านล้านบาท
แม้สังคมสูงวัยและ NCD จะดูเหมือนเป็นภาระ แต่ตัวเลขจาก Global Wellness Institute (GWI)
กลับสะท้อนอีกมุม ว่านี่คือ “โอกาสทอง”
• Wellness Economyไทยปี 2023 มีมูลค่า 40.5 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)
• ไทยติดอันดับ 24 ของโลก และอันดับ 9 ของเอเชีย-แปซิฟิก
• ปี 2022–2023 ไทยโตสูงที่สุดในโลกที่ 28.4%
• Wellness Tourism โต 119.5% สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
รายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวสาย Wellness ยิ่งตอกย้ำศักยภาพนี้:
• นักท่องเที่ยวไทย ใช้จ่ายเฉลี่ย 367 ดอลลาร์/ทริป (ประมาณ 13,200 บาท)
• นักท่องเที่ยวต่างชาติ ใช้จ่ายเฉลี่ย 1,735 ดอลลาร์/ทริป (ประมาณ 62,460 บาท)
และการเติบโตไม่ได้จำกัดอยู่แค่ “สปาและบำบัด” แต่รวมถึงทั้งโรงพยาบาลระดับโลก อาหารไทย สมุนไพร การบริการ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่เหมาะกับการพักฟื้นระยะยาว
เทรนด์ใหม่ที่ไทยยังพูดถึงน้อย: “Longer Life Migration”
ผู้สูงวัยทั่วโลก กำลังย้ายถิ่นฐานไปประเทศที่มีคุณภาพการรักษาดี ราคาไม่แรง บรรยากาศดี และปลอดภัย เพื่อให้ตัวเองอายุยืน และอยู่แบบสุขภาพดีขึ้น นี่คือโอกาสใหญ่ของไทย
ไทยมีทุกองค์ประกอบพร้อม:
• โรงพยาบาลมาตรฐานสากล ราคาน่าดึงดูดกว่าในประเทศพัฒนาแล้วหลายเท่า
• นักท่องเที่ยว long-stay ที่เติบโตต่อเนื่อง
• อาหาร การแพทย์แผนไทย และวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับการดูแลสุขภาพ
• นักท่องเที่ยวสูงวัยจากจีน ญี่ปุ่น ยุโรป และตะวันออกกลางเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
หากบริหารจัดการให้ดี นี่จะเป็นรายได้ระยะยาว ที่ได้มาจากทั้งที่อยู่อาศัย บริการสุขภาพ โภชนาการ ฟิตเนส กายภาพบำบัด และกิจกรรมชุมชน
เทียบระดับโลก ไทยได้เปรียบตรงไหน?
• สหรัฐฯ: ระบบใหญ่แต่แพง
• ญี่ปุ่น: การแพทย์ป้องกันดีเยี่ยม แต่ต้นทุนสูงสำหรับชาวต่างชาติ
• เกาหลีใต้: แข็งแรงด้านความงาม แต่ยังไม่ครบวงจรด้าน holistic wellness
• สิงคโปร์: คุณภาพดีมาก แต่ราคาสูง
• จีน: ตลาดใหญ่สุดในเอเชีย แต่คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ทำให้คนจีนจำนวนมากเดินทางมาไทยเพื่อรักษาและพักฟื้น
ข้อได้เปรียบแท้จริงของไทย: คุณภาพการแพทย์สูงในราคาที่แข่งขันได้
• ความเชี่ยวชาญด้านการดูแลป้องกันและยืดอายุ (Longevity Medicine)
• Ecosystem ที่ครบที่สุดในอาเซียน
• Soft Power ด้านอาหาร วัฒนธรรม การบริการ
• เสน่ห์ดึงดูดสำหรับกลุ่มวัยเกษียณจีน-ญี่ปุ่น-ตะวันออกกลาง
สุขภาพ = เงินทุนรูปแบบใหม่
เมื่อผู้คนหันมาลงทุนกับสุขภาพ การป้องกันโรค โภชนาการ คุณภาพชีวิต และสุขภาพจิต ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นจริง:
• ค่ารักษาพยาบาลลดลง
• ผลิตภาพแรงงานดีขึ้น
• ชีวิตยืนยาวขึ้นอย่างมีคุณภาพ
สำหรับประเทศไทย การยืด “สุขภาพวัยทำงานและวัยสูงอายุ” ไม่ใช่แค่เป้าหมายด้านสาธารณสุข แต่คือ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ที่จะกำหนดความสามารถแข่งขันในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า
หากไทยสามารถเชื่อม Medical Excellence + Tourism Assets + Food & Herbal Heritage + Thai Soft Power ให้กลายเป็น “กลยุทธ์ชาติด้าน Wellness”
ประเทศไทยอาจก้าวสู่การเป็น เศรษฐกิจสุขภาพชั้นนำของเอเชีย ได้อย่างแท้จริง
เรื่อง: อาชวี เอี่ยมสุนทรชัย Economist, Bnomics
ภาพประกอบ: กิติกาญจน์ โกมลวิทย์
════════════════
ที่มาเนื้อหาจาก.. Bnomics by Bangkok Bank