โบรกฯ แนะกลยุทธ์เทรดหุ้น CPF-BTG
หลังที่ผ่านมาราคาร่วงแรง
รับข่าวต้นทุนวัตถุดิบเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้น

.
จากประเด็นที่หุ้นกลุ่มเนื้อสัตว์ ได้แก่ BTG, CPF, GFPT, TFG ปรับตัวลดลงแรงเกิดจากประเด็นข่าวที่รัสเซียประกาศถอนตัวจากข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านเส้นทางทะเลดำ
.
โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับตลาดว่าราคาผลิตผลทางการเกษตรทั่วโลกมีโอกาสกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ส่งผลกดดันด้าน Sentiment ต่อหุ้นในกลุ่มที่อาจเผชิญกับต้นทุนอาหารสัตว์ที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลกระทบกับ Margin ในช่วงถัดไปได้ เช่น BTG, CPF, GFPT, TFG
.
สำหรับในเชิงพื้นฐาน เรามีมุมมองต่อ BTG และ CPF โดยมองว่า BTG คาดไตรมาส 2/66 จะขาดทุนราว 340 ล้านบาท จากปัญหาหมูลักลอบนำเข้าที่ทำให้ราคาหมูในไทยอ่อนตัวลงต่อเนื่อง แม้ว่าราคาไก่จะปรับตัวดีขึ้นบ้างจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นก็ตาม สำหรับแนวโน้มใน 2H66 ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลประกอบการได้บ้าง แต่ยังมีโอกาสที่ราคาวัตถุดิบจะปรับตัวขึ้นจากภาวะ El Nino และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แนะนำ "ถือ" ที่ราคาเหมาะสม 23 บาท
.
ส่วน CPF นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2/66 ยังเห็นขาดทุนสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท จากปัญหาหมูลักลอบนำเข้าที่ทำให้ราคาหมูในไทยอ่อนตัวลงต่อเนื่อง แม้ว่าราคาไก่จะปรับตัวดีขึ้นบ้างจากปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นก็ตาม สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังปี 66 ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลประกอบการได้บ้าง แต่ยังมีโอกาสที่ราคาวัตถุดิบจะปรับตัวขึ้นจากภาวะ El Nino และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แนะนำ "ถือ" ที่ราคาเหมาะสม 20 บาท
.
[กลยุทธ์เทรด BTG-CPF]
ขณะเดียวกันล่าสุดนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รายงานว่า สถานการณ์ดังกล่าวล่าสุดทางรัสเซียออกมาขู่ว่าถ้ามีเรือใดที่แล่นผ่านบริเวณทะเลดำนั้น ทางรัสเซียก็มีสิทธิที่จะตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่าเรือดังกล่าวขนอาวุธหรือไม่ พร้อมทั้งไม่รับรองความปลอดภัย
.
ดังนั้น จึงต้องระมัดระวังหุ้นที่มีความเชื่อมโยงที่มีต้นทุนเป็นพวกประเภทของธัญพืช เช่นข้าวสารีหรือข้าวโพด ซึ่งมีราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายวันที่ผ่านมา เช่นในส่วนของราคาข้าวสารีราคาบวกขึ้นมากกว่า 9% และในส่วนของราคาข้าวโพดบวก 4% ซึ่งจะเห็นได้ว่าหุ้นที่เป็นธุรกิจฟาร์มสัตว์ก็ได้รับผลกระทบไปแบบเต็มๆ
.
โดยหุ้นที่จะ Underperform คือ CPF และ BTG ขณะเดียวกันคาดผลประกอบการไตรมาส 2/66 จะขาดทุน ส่วนหุ้น GFPT คาดว่าผลประกอบการจะเติบโตได้จากไตรมาส 1/66 แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
สำหรับคำแนะนำของนักลงทุนที่จะหาจังหวะลงทุนในหุ้นกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งแนะนำนักลงทุนให้รอความชัดเจน และรอความคืบหน้า อย่างเช่นตัว BTG ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นหลุดเส้นค่าเฉลี่ย ดังนั้นรอกราฟราคาเซตตัวรอปัจจัยข่าวที่ชัดเจน
.
ทั้งนี้ประเมินว่าถ้าราคาหุ้นหลุดโลว์เดิมที่ 22 บาท และทำจุดออลไทม์โลว์ใหม่ มีโอกาสที่อาจจะเห็นแรงขายทั้งในส่วนของกองทุนที่จะต้อง Stoploss จึงแนะนำ รอเพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลประกอบการอาจจะดูไม่ดี ซึ่งทำให้ปรับตัวลดลงได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตามหลังจากงบออกไปแล้วคาดว่าจะดีทิศทางที่ดีขึ้น ส่วน CPF ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงมารับข่าวดังกล่าวแล้วและยังเคลื่อนไหวแบบแกว่งตัวออกด้านข้าง
.
สำหรับ นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่ หากต้นทุนไม่สูงมาก ยังคงแนะนำว่าต้องถือ หรืออาจจะทยอยขายออกมาบางส่วน และหาจังหวะเล่นกับตลาด และหาจังหวะซื้อคืนเพื่อเฉลี่ยต้นทุนขาลง