ห้องเม่าปีกเหล็ก

Negative Income Tax: จากเครื่องมือจัดเก็บ สู่เครื่องมือโอนกลับ

โดย ELEVEN7
เผยแพร่ :
17 views

Negative Income Tax: จากเครื่องมือจัดเก็บ สู่เครื่องมือโอนกลับ

ภาษีเคยถูกมองว่าเป็น “ภาระ” ของผู้เสียภาษี แต่วันนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ… ภาษีอาจกลายเป็นเครื่องมือโอนรายได้กลับคืนสู่กลุ่มเปราะบาง

ประเทศไทยกำลังเตรียมทดลอง Negative Income Tax (NIT) ในปี 2570 หนึ่งในนโยบายการคลังที่กล้าหาญที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

 

 

แนวคิดที่เชื่อม “เก็บ–โอน” ไว้ในระบบเดียว

NIT บูรณาการภาษีกับสวัสดิการ โดยให้ทุกคนยื่นภาษี แม้รายได้ต่ำกว่าฐาน รัฐจะ “เก็บจากคนมี” และ “โอนคืนให้คนจน” ผ่านขั้นบันได 3 ชั้น

Phase-in:เงินโอนสมทบจากภาครัฐ สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 0–30,000 บาท/ปี

Plateau: เงินโอนคงที่ สำหรับผู้ที่มีรายได้ใกล้เส้นความยากจน

Phase-out: เงินโอนจะค่อยๆ ลดลง และสิ้นสุดเมื่อรายได้แตะระดับ 80,000 บาทต่อปี (เทียบเท่าค่าจ้างขั้นต่ำทั้งปี)

ข้อแตกต่างจากสวัสดิการแบบเดิมคือ เงินโอนไม่ถูกตัดสิทธิ์ทันที แต่ค่อยๆ ปรับตามรายได้ ทำให้ “การทำงานยังคุ้มกว่าเสมอ” (work always pays)

 

ทำไมไทยต้องทำตอนนี้?

 

ความเหลื่อมล้ำ: คนจำนวนมากยังอยู่ต่ำกว่าเส้นความยากจน 3,043 บาท/เดือน ขณะที่สวัสดิการปัจจุบันคนจนกว่าครึ่งพลาดสิทธิ ขณะที่บางคนที่ไม่จนกลับได้สิทธิ

 

แรงงานนอกระบบ: แรงงานกว่าครึ่งไม่เคยยื่นภาษี ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีจริงเพียง 4.2 ล้านคน (<6% ของประชากร) NIT จึงถูกมองว่าเป็นก้าวแรกสู่การสร้างฐานภาษีที่แท้จริง

 

ราคาที่ต้องจ่าย

งบสวัสดิการปัจจุบัน: 437,000 ล้านบาท (12% ของงบปี 2567)

NIT หากครอบคลุม 18.5 ล้านคน: 56,000 ล้านบาท/ปี (0.3% GDP) →ครอบคลุมเฉพาะกลุ่มเป้าหมาย

หากยึดเส้นความยากจนจริง งบประมาณอาจพุ่งสูงกว่านี้มาก ไม่แปลกที่เริ่มมีเสียงเรียกร้องเรื่องขึ้น VAT เกิน 7% หลังคงที่มากว่า 20 ปี

 

โลกสอนอะไรเรา

 

สหรัฐฯ: “เครดิตภาษีคืนเงิน” สำหรับคนทำงานที่มีรายได้น้อยและปานกลาง หรือ EITC (Earned Income Tax Credit) โดยรัฐคืนเงินให้แม้ว่าภาษีที่ต้องเสียจริงจะเป็นศูนย์ จึงกลายเป็นเหมือนเงินโอนกลับ (cash transfer) ช่วยกระตุ้นให้คนทำงานมากขึ้น แต่ซับซ้อน

 

แคนาดา: “Mincome” เริ่มทดลองที่เมือง Dauphin รัฐ Manitoba ให้ครัวเรือนที่รายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ แต่ล่มเพราะงบไม่พอ

 

เกาหลีใต้: “เครดิตภาษีคืนเงิน” แบบเดียวกับสหรัฐฯ แต่ผู้สูงอายุยากจนที่ไม่ได้อยู่ในตลาดแรงงาน ไม่ได้รับประโยชน์ ทำให้ปัญหาความยากจนของผู้สูงอายุยังรุนแรง

 

สิงคโปร์: Workfare หรือ “เงินอุดหนุนการทำงาน” สำหรับแรงงานรายได้น้อยที่ทำงานอยู่จริง โดยรัฐโอนเงินเข้าบัญชีบำนาญ (CPF) และให้เป็นเงินสดบางส่วน ช่วยทั้งเพิ่มรายได้ และสร้างเงินออมระยะยาว และประสบสำเร็จเพราะแรงงานนอกระบบมีน้อยมาก (แค่ ~3% ของกำลังแรงงาน) ทำให้ระบบตรวจสอบง่าย

บทเรียนเหล่านี้ชี้ว่า ความสำเร็จของ NIT ไม่ได้อยู่ที่ทฤษฎี แต่อยู่ที่โครงสร้างตลาดแรงงาน ฐานะการคลัง และคุณภาพของข้อมูล

 

คอขวดของไทย: Data Lake

ไทยกำลังสร้าง Data Lake ครอบคลุมประชาชน 60 ล้านคนและธุรกิจ 600,000 ราย หากข้อมูลโปร่งใสและตรวจสอบได้ มันจะเป็น “เส้นชีวิต” ของระบบ แต่หากเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและทุจริต ก็จะกลายเป็น “กล่องดำ” ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น

ยิ่งไปกว่านั้น คนไทยยังมอง “การยื่นภาษี = ภาระ” ไม่ใช่ “สิทธิ” หากไม่เปลี่ยนมุมมองนี้ NIT อาจสะดุดตั้งแต่วันแรก

 

ใครได้–ใครเสีย

ผู้ชนะ: ครัวเรือนรายได้น้อยที่เคยถูกกันออกจากสวัสดิการ

ผู้ต้องปรับตัว: ชนชั้นกลาง ที่อาจต้องเริ่มเสียภาษีจริง

ผู้ได้รับผลกระทบน้อย: ผู้มีรายได้สูง ภาระไม่ต่างมาก แต่มีช่องโหว่ให้น้อยลง

 

NIT อาจกลายเป็น “สัญญาประชาคมใหม่” ที่ช่วยให้ไทยขยายฐานภาษี ลดความเหลื่อมล้ำ และทำให้แรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบการคลัง

แต่หากทำไม่สำเร็จ… ก็อาจกลายเป็นแค่นโยบายประชานิยมราคาแพงที่ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเลย

คำถามคือ…ไทยพร้อมหรือยังที่จะยอมจ่ายแพงขึ้นวันนี้ เพื่อได้ระบบสวัสดิการที่มั่นคงและยั่งยืนกว่าวันพรุ่งนี้?

.

เรื่องและภาพ: อาชวี เอี่ยมสุนทรชัย Economist, Bnomics

════════════════

 

 

ข้อมูลเนื้อหาจาก.   Bnomics by Bangkok Bank


ELEVEN7