ห้องเม่าปีกเหล็ก

เปิดโผ 5 หุ้นเสน่ห์แรง!

โดย dave
เผยแพร่ :
168 views

เปิดโผ 5 หุ้นเสน่ห์แรง!

มีโอกาสดึงต่างชาติเข้า “เก็งกำไร”

.

ตลาดหุ้นไทยกับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากสังเกตความเคลื่อนไหวของฟันโฟลว์ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2566) มีมูลค่าการซื้อขายเป็นขายสุทธิอยู่ที่ 100,802 ล้านบาท

.

แต่ในช่วงหนึ่งสัปดาห์มานี้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติก็ได้เริ่มส่งสัญญาณที่ชะลอตัวลง โดยล่าสุดในการซื้อขายวันที่ 7 มิถุนายน 2566 ก็พลิกกลับมาเป็นซื้อสุทธิอยู่ที่ 1,611 ล้านบาท ซึ่งสัญญาณดังกล่าวจะเป็นจังหวะหรือโอกาสการลงทุนได้หรือไม่ ทาง Wealthy Thai จะพาไปดูมุมมองนักวิเคราะห์กันในวันนี้

.

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่า องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) มีการปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกขึ้นจาก 2.6% เป็น 2.7% รวมถึงคาดว่า ประเทศกำลังพัฒนามีโอกาสลดดอกเบี้ยได้เร็วกว่าประเทศพัฒนาแล้ว จากเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่ามาก

.

โดยถือเป็นเซนติเมนต์ที่ดีต่อตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงตลาดหุ้นไทย นอกจากนี้ยังเห็นการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากหุ้นเติบโต (ดัชนี Nasdaq -1.3%) มาที่หุ้นคุณค่า (ดัชนี Dow Jones +0.3%) มากขึ้น ทั้ง 2 ปัจจัย น่าจะเป็นแรงหนุนให้ต่างชาติเคลื่อนย้ายเม็ดเงินกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากวานนี้ต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อสุทธิที่สูงสุดในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา

.

ด้าน บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทย นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิอยู่ที่ 249 ล้านเหรียญ จากสัปดาห์ก่อนขายสุทธิอยู่ที่ 352 ล้านเหรียญ ด้วยแรงขายเบาลงมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติอาจจะกลับมาเล่นเก็งกำไร โดยหุ้นที่น่าสนใจหรือมีโอกาสที่กลุ่มนักลงทุนจะเข้าเล่นมากสุดประกอบไปด้วย BDMS, BH, BBL, SCB และ MTC

.

สำหรับปัจจัยพื้นฐานของ 5 หุ้น อย่าง BDMS บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 36 บาท โดยแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/66 จะยังคงเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า ตามจำนวนผู้ใช้บริการของต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่นของโรงพยาบาลก็ตาม

.

นอกจากนี้บริษัทเป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลประโยชน์จาก medical tourism อย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบันมีผู้ป่วยต่างชาติที่สนใจมารักษาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีจำนวน booking เพื่อเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในด้านของมูลค่าหุ้นมองว่าน่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตของรายได้ภายในดีมากกว่าช่วงก่อนโควิด แม้จะมีการเติบโตของกำไรไม่สูงมากหนักจากฐานที่สูง

.

ขณะที่ BH บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้คำแนะนำ “Neutral” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 230 บาท เนื่องจากแนวโน้มไตรมาส 2/66 ไม่เด่นจากปัจจัยฤดูกาล พร้อมกับคาดกำไรสุทธิปี 2566-2568 เติบโตเฉลี่ยปีละ6%ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่แผ่วลงตาม Pent-up demand กลุ่มลูกค้าต่างชาติกลับสู่ระดับปกติ สำหรับทั้งปี 66 คาดกำไรอยู่ที่ 5.26พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 6% ซึ่งเป็นการเติบโตระดับปกติ

.

รวมไปถึงยังไม่รวมโรงพยาบาลใหม่ในภูเก็ตในประมาณการกำไรของ BH แต่ยังมองว่า ปริมาณ (Capacity) ที่จำกัดของสาขาในกรุงเทพฯ อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในช่วงรอโรงพยาบาลใหม่เปิดบริการในอีก 2 ปีข้างหน้า

.

สำหรับ BBL บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” กำหนดราคาเป้าหมายที่ 190 บาท เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีความแข็งแรงของพอร์ตสินเชื่ออยู่ในระดับสูงทั้งในแง่ของฐานะการเงินลูกค้าและการตั้งสำรองที่สูงจนปัจจุบันมี Coverage Ratio ที่ 265.1% สูงสุดในกลุ่ม ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมี P/BV ที่ต่ำเพียง 0.6

.

นอกจากนี้ภาพรวมธุรกิจยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี โดยเน้นการเติบโตในกลุ่มลูกค้าที่มีฐานะการเงินแข็งแรงทั้งในไทยและอาเซียนเพื่อคงจุดเด่นด้วยความแข็งแรงของคุณภาพสินเชื่อ ทำให้ยังคงคาดทั้งปี 2566 จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 21.7%

.

ขณะที่ SCB บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “ซื้อ” และกำหนดราคาเป้าหมายที่ 144 บาท โดยมีความน่าสนใจจากความสามารถในการบริหารจัดการหนี้กลุ่มเสี่ยงที่ดี และแนวโน้มธุรกิจที่จะเร่งตัวดีขึ้นเรื่อยๆตามการขยายพอร์ตของธุรกิจสินเชื่อผู้บริโภค (Consumer Finance)

.

พร้อมกันนี้ในช่วงครึ่งปีหลังปี 66 บริษัทมีแผนที่จะรีไฟแนนซ์ตราสารหนี้สกุลเงินดอลลาร์มูลค่าราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ ที่เคยเสนอขายในช่วงปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็นตราสารหนี้สกุลเงินบาทที่มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำลง ซึ่งหนุนให้ทั้งปี 2566 จะมีกำไรอยู่ที่ 4.75 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 26.6%

.

สุดท้าย MTC บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้คำแนะนำ “TRADING” จนกว่าจะเห็นพัฒนาการที่น่าสนใจใหม่ๆ โดยกำหนดราคาเป้าหมายที่ 38.50 บาท ในเบื้องต้นคาดแนวโน้มธุรกิจจะเริ่มขยับขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/66 เป็นต้นไป โดยหนุนจากการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ตามขนาดของพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น หลังเร่งขยายสาขาในต่างจังหวัดเพื่อเพิ่มช่องทางเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

.

ขณะที่การตั้งสำรองคาดจะเริ่มผ่อนคลายลง ตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฐานรากตั้งแต่ไตรมาส 2/66 หนุนจากภาคการท่องเที่ยวในต่างจังหวัดที่ดีขึ้นและเม็ดเงินในช่วงเลือกตั้งที่กระจายสู่พื้นที่ต่างจังหวัดจำนวนมาก คาดทำให้ความสามารถในการชำระเงินคืนของลูกหนี้เริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น

.

พร้อมกันนี้ระดับของ Costto Income Ratio คาดจะอยู่ในระดับสูงกว่า 45% เนื่องจากยังต้องมีการจ่าย Incentive ให้กับพนักงานจำนวนมากเพื่อควบคุมคุณภาพสินเชื่อ ทำให้เรายังคงคาดทั้งปี 2566 จะมีกำไรอยู่ที่ 5.63 พันล้านบาท เติบจากปีก่อนหน้าโต 10.6%

 

 


dave