ห้องเม่าปีกเหล็ก

5 ชาติ 5 นวัตกรรม พลิกโฉมการเงิน

โดย PhotoStory
เผยแพร่ :
66 views
 
 
 
#infographic ในยุคที่การทำธุรกรรมการเงินสามารถทำได้อย่างง่ายดายผ่าน Smart Phone หรือมีเหรียญ Crypto ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา TNN Wealth ขอพาย้อนเวลาไปดูวิวัฒนาการประวัติศาสตร์การเงินกว่าที่จะมาถึงทุกวันนี้
.
.
1. จีน...ชาติแรกของโลกที่ใช้เงินกระดาษ
จีนนั้นเป็นชาติที่คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลกยุคโบราณหลายต่อหลายอย่าง เช่นเดียวกับเงินกระดาษ ที่มีใช้กันมานานเกือบ 2,000 ปี โดยแรกเริ่มใช้กันราชสำนักด้วยการนำกระดาษมาทำสัญญาที่ระบุว่าจะจ่ายเงินให้ในอนาคตคล้ายกับตั๋วสัญญาใช้เงิน
.
.
และต่อมาในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – 906) ก็มีคำศัพท์ว่า “เงินบิน” 飛錢 ซึ่งหมายถึงเงินที่ทำจากกระดาษซึ่งปลิวได้ง่าย เพราะในยุคนั้นจีนมีการใช้เงินที่ทำจากโลหะทั้งในรูปของเหรียญและก้อนเงินโลหะ ซึ่งไม่สะดวกและไม่ปลอดภัยในการค้าขายหากต้องเดินทางเคลื่อนย้ายขนส่งเงินคราวละมาก ๆ จึงมีการออกเงินกระดาษ สามารถใช้เป็นหลักฐานที่นำไปแสดง เพื่อขึ้นเงินปลายทางเมื่อเดินทางไปต่างเมืองได้ และในสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – 1279) ก็ยังมีการผลิตแท่นพิมพ์เงินกระดาษ ซึ่งยังคงมีหลักฐานปรากฎให้เห็นในปัจจุบัน
.
.
ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 13 มาร์โค โปโล นักสำรวจและพ่อค้าชาวอิตาเลียนจากเมืองเวนิส ได้เดินทางมายังเมืองจีน ไปตามเส้นทางสายไหม และเป็นผู้นำแนวคิดเรื่องเงินกระดาษกลับไปเผยแพร่ในยุโรป
.
.
2. สวีเดน...ชาติแรกที่ริเริ่มพิมพ์ธนบัตรและตั้งธนาคารกลาง
สวีเดนเป็นชาติแรกของโลกที่เป็นต้นแบบของการผลิตเงินกระดาษหรือธนบัตรแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันก็คือ เริ่มผลิตกันในปี ค.ศ. 1661 เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความไม่สะดวกจากการใช้เงินเหรียญทองแดงในขณะนั้น ลักษณะเด่นสำคัญคือ มีการออกแบบลายน้ำ มีตราประทับ และมีลายเซ็นของผู้มีอำนาจหลายคนกำกับไว้ เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบ และพัฒนามาเป็นธนบัตรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
.
.
ส่วนธนาคารกลางหรือธนาคารของรัฐที่ไม่แสวงหากำไร ก็ถือกำเนิดขึ้นในสวีเดนเช่นกัน ในปี ค.ศ. 1668 จุดเริ่มต้นมาจากความพยายามในการแก้ปัญหาการทุจริตของผู้จัดการธนาคาร Bank of Stockholm ที่ผลิตเงินกระดาษออกสู่ระบบมากเกินไป ไม่มีทองคำและเงินที่แท้จริงมาแสดงเมื่อถูกทวงถาม ทางรัฐสภาสวีเดนจึงได้ตัดสินใจตั้งธนาคารกลางขึ้นมา กำหนดบทบาทหน้าที่และกฎระเบียบที่ชัดเจนในการเป็นผู้ผลิตธนบัตรออกสู่ตลาดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งในเวลาต่อมาประเทศอื่นๆ ในยุโรปจึงได้จัดตั้งธนาคารกลางขึ้นมาตามอย่างธนาคารในสวีเดน
.
.
สวีเดนยังเป็นประเทศแรกในโลกที่ประกาศตัวมุ่งหน้าไปสู่การเป็น Cashless Society (สังคมไร้เงินสด) ลดการใช้เงินสดลงให้มากที่สุด
.
.
3. อังกฤษ...ชาติแรกที่มีสกุลเงินของตัวเอง และให้กำเนิดบัตร ATM
ชาติแรกที่มีการนำคำเรียกขานเงินของตัวเองและพัฒนามาเป็นสกุลเงินประจำประเทศก็คืออังกฤษตั้งแต่เมื่อราว 1,200 ปีก่อนในสมัยอาณาจักร Saxon โดยใช้คำว่า “ปอนด์สเตอร์ลิง” ถือเป็นสกุลเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีที่มาจากการกำหนดค่ากลางของหน่วยวัดน้ำหนักเหรียญ
.
.
น้ำหนัก 1 ปอนด์เท่ากับเหรียญโลหะสเตอร์ลิง 240 เหรียญ จึงเรียกเงินที่นำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนว่า Pound of Sterling และต่อมาก็เกิดการ “กร่อนคำ” เหลือแค่ “ปอนด์สเตอร์ลิง” และ “ปอนด์” ในที่สุด
.
.
แม้ในค.ศ. 1999 สมาชิกสหภาพยุโรป (EU) เกือบทั้งหมดจะหันมาใช้เงินยูโรเป็นสกุลเงินหลักของภูมิภาค แต่สหราชอาณาจักรก็ยังคงภาคภูมิใจและเชื่อมั่นที่จะใช้เงินปอนด์เป็นหลักเพียงสกุลเดียว จวบจนกระทั่งปัจจุบันที่ Brexit ขอออกจากการเป็นสมาชิก EU
.
.
ธนาคาร Barclays ของอังกฤษ ยังเป็นธนาคารแห่งแรกในโลกที่มีการนำเอา ตู้ ATM ถอนเงินอัตโนมัติ (Automatic Teller Machine) มาใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1967 ไอเดียตั้งต้นมาจากบารอน John Adrian Shepherd นักประดิษฐ์ชาวสก็อต ที่มองว่า คงจะดีไม่น้อยถ้าเจ้าของบัญชีจะถอนเงินออกมาใช้เมื่อใดก็ได้ คล้าย ๆ กับตู้ขายขนมอัตโนมัติ โดยไม่ต้องรอเวลาธนาคารเปิดทำการ จากนั้นได้มีการพัฒนาแนวคิดไปสู่การออกแบบกระดาษที่ต้องกำหนดรหัส (Code) สำหรับการปลดล็อกให้เงินไหลออกมา ซึ่งในเวลาต่อมาก็คือบัตร ATM นั่นเอง
.
.
4. อิตาลี...ชาติแรกที่ก่อตั้ง “ธนาคารพาณิชย์”
Banca Monte dei Paschi di Siena (BMPS) ตั้งอยู่ที่เมืองเซียน่า ของอิตาลี เริ่มเปิดให้บริการค.ศ. 1472 โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับเกษตรกรในการทำไร่และปศุสัตว์ ต้นแบบของการให้บริการธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยคำว่า Banca ในภาษาอิตาเลี่ยนยังเป็นรากศัพท์ของคำว่า Bank หรือ ธนาคาร ที่ชาติอื่น ๆ ในยุโรปเรียกตามอย่างในเวลาต่อมา
.
.
ธนาคาร BMPS ผ่านการปฏิรูปกิจการ ปรับปรุงรูปแบบการบริการ เผชิญวิกฤติหนี้สิน และปรับเปลี่ยนผู้ร่วมทุนมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังดำเนินการอยู่จวบจนถึงปัจจุบัน
.
.
5. สหรัฐอเมริกา...ต้นคิดบัตรเครดิต
ต้นแบบของบัตรเครดิตที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เริ่มต้นในราว ค.ศ. 1950 ในนามของ Diner’s Club ก่อตั้งโดย Frank X. McNamara ซึ่งได้ไอเดียมาจากการที่ไปใช้บริการร้านอาหารแล้วลืมเอากระเป๋าตังค์ติดตัวไป
.
.
ต่อมา จึงคิดเป็นผู้รวบรวมและทำข้อตกลงพิเศษกับบรรดาร้านอาหารในย่าน Manhattan ที่รวมกลุ่มกัน อนุญาตให้สมาชิกผู้ถือบัตรสามารถรับประทานอาหารก่อนโดยไม่ต้องจ่ายเงินสด แถมยังได้ส่วนลด แล้วค่อยเรียกเก็บเต็มจำนวนในตอนสิ้นเดือน
.
.
ในช่วงนั้นร้านค้าและเอกชนต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ก็นิยมออกบัตรบัตรสมนาคุณพิเศษให้กับลูกค้า เช่น บัตรเติมน้ำมัน หรือบัตรส่วนลดในห้างสรรพสินค้ากันอยู่ก่อนแล้ว ทำให้คนอเมริกันค่อย ๆ คุ้นเคยกับการใช้บัตรแทนเงินสดและหันมาใช้บัตรเครดิตกันได้ไม่ยาก
ต่อมา Diner’s Club Card นี้ประสบความสำเร็จอย่างสูงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งร้านอาหารและสมาชิก ทำให้ในเวลาต่อมามีการขยายพื้นที่ เพิ่มจำนวนสมาชิกและประเภทของร้านค้า ไปสู่โรงแรมและธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ จนกระทั่งกลายมาเป็นบัตรเครดิตอย่างที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
.
.
ไม่ว่าใครก็อยากจะมีเงินไว้จับจ่ายใช้สอย ไม่ขาดมือ และถ้ามีมาก ๆ จนเข้าขั้นเศรษฐีก็คงจะดีไม่น้อย แต่กว่าที่เงินจะมีหน้าตาและรูปแบบการใช้อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน ก็มีวิวัฒนาการกันมาหลายรูปแบบหลายยุคหลายสมัยและยังพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
.
.

PhotoStory