MAJOR จะฟื้นไหม?
จากต้นปีราคาดิ่ง 44%
นักวิเคราะห์ยังแนะ “ซื้อ”
มองผลงานครึ่งปีหลังฟื้น-มีอัพไซด์เพิ่ม

.
ราคาหุ้น บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAJOR ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยวันที่ 6 มิ.ย. 68 ราคาหุ้นปิดตลาดที่ระดับ 8.05 บาท ลดลง 1.83% จากวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 22.18 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากนับจากต้นปีราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้ว 44.48% จากระดับ 14.50 บาท ณ วันที่ 2 ม.ค. 68 โดยคาดว่าปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น เกิดจากความวิตกกังวลในด้านผลการดำเนินงาน เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกมีผลกำไรที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
.
อย่างไรก็ดี ในส่วนของมุมมองนักวิเคราะมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกัน คือแนะนำ “ซื้อ” หุ้น MAJOR มองว่าแม้กำไรในช่วงครึ่งปีแรกจะอ่อนแอ แต่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่และหนังไทยภาคต่อที่ได้ความนิยมสูงที่จะเข้าฉายในช่วงไตรมาส 3-4 อีกจำนวนหลายเรื่อง ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันรายได้ช่วงที่เหลือของปี อีกทั้งมองว่าราคาหุ้นมี Upside เพิ่มขึ้น 8.59% จากการลดทุนจดทะเบียน
.
โดยบทวิเคราะห์จาก บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” MAJOR ด้วยราคาเป้าหมาย 12.80 บาท ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการกำไรลง 26% และ 26.28% เป็น 620 ลบ. และ 681 ลบ. ในปี 2568-69 ตามลำดับ สะท้อน 1) กำไรที่อ่อนแอลงอย่างมากในไตรมาส 1/68
.
2) รายได้ Admission และ Concession ที่คาดทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนก่อน (คิดเป็นสัดส่วน 75.1%ของรายได้ทั้งหมด) จากจานวนผู้เข้าชมที่อาจเติบโตน้อยกว่าที่คาดเหลือ 25.5 ล้านใบ, 26.3 ล้านใบ ในปี 2568-69
.
3) ค่าใช้จ่ายที่ยังทรงตัวสูงราว 29.5%, 29.8% ซึ่งยังอยู่ในช่วงการลงทุนอุปกรณ์และซอฟแวร์เพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนคงที่ลงโดยบริษทได้มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมอย่างคุ้มค่ามากขึ้นเช่นการสั่งซื้อป๊อปคอร์นภายในโรงหนังด้วยแอปพลิเคชันโดยคาดจะเห็นรายได้ตั๋วหนังที่เริ่มกลับมาฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน ตั้งแต่ไตรมาส 2/68
.
ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 จะฟื้นตัวเด่นจากครึ่งปีแรก โดยหน้าหนังในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่มีความแข็งแรงที่สุดในช่วงปี 2568 จะช่วยผลักดันรายได้หลักในธุรกิจ Admissions และ Concession ให้เติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก หนุนด้วยหน้าหนัง Hollywood ฟอร์มยักษ์ในไตรมาส 3/68 ได้แก่ “Jurassic World”, “Superman”, “Fantastic 4” และในไตรมาส 4/68 “Avatar 3”, และ “Tron: Ares” รวมถึงหน้าหนังผีไทยที่ยังคงแข็งแกร่งตลอดช่วงครึ่งปีหลัง 2568 อย่าง “ท่าแร่”, “ป่าช้าผีแขก”, “ธี่หยด 3” และ “อนงค์ 2” จากหนังไทยมากกว่า 70 เรื่อง (ซึ่งมาจากหนังค่าย M Studio สูงถึง 24 เรื่อง เช่น “อีเรียมซิ่ง 2”) ในปี 2568
.
นอกจากนี้ MAJOR ประกาศลดทุนจดทะเบียนลง 71.219 ล้านหุ้น หรือราว 8.59% ของทุนจดทะเบียน ในวันที่ 13 พ.ค. 2568 เนื่องจากบริษัทไม่สามารถจำหน่ายหุ้นหลังโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงินได้ทั้งหมด ทำให้จำนวนหุ้นจดทะเบียนจะลดลงเหลือ 757.92 ล้านหุ้น มี upside เพิ่มขึ้น 8.59% (ซึ่งได้รวมอยู่ในประมาณการใหม่แล้ว) โดยโครงการซื้อหุ้นคืนคาดจะยังคงเป็นหนึ่งในมาตรการที่บริษัทเลือกใช้ในช่วงรอโอกาสการลงทุนมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มุ่งเน้นการขยายธุรกิจเชิงรุกและการจ่ายปันผลเหมือนเมื่อก่อน
.
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำ “ซื้อ” MAJOR ทั้งนี้ มองว่าราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว โดยคาดหวังกำไรจะกลับมาเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 โดยคงมูลค่าพื้นฐานที่ 13.50 บาท ขณะที่คาดผลประกอบการในไตรมาส 2/68 ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน แต่เทียบจากช่วงเกียวกันของปีก่อน ยังมีโอกาสชะลอตัวต่อแม้จะมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เข้าฉายมากขึ้น อาทิ Mission Impossible8, Thunderbolts แต่เทียบปีก่อนมีภาพยนตร์ฟอร์มดีหลายเรื่องที่ทำรายได้ทะลุ 100 ล้านบาท อาทิ หลานม่า, อนงค์, Godzilla vs Kong และ Inside Out 2
.
ทั้งนี้ คาดรายได้จากภาพยนตร์จะพลิกกลับมาเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ซึ่งมีภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่จากฝั่งฮอลลีวูดที่กระแสดีรอเข้าฉายหลายเรื่องมากกว่าเมื่อเทียบปีก่อน ได้แก่ Avatar 3, Superman, Fantastic 4, Jurassic World และภาพยนตร์ไทยภาคต่อที่แนวโน้มดีหลายเรื่อง ได้แก่ ธี่หยด 3, อีเรียมซิ่ง 2 และอนงค์ 2
.
สำหรับธุรกิจอื่น ๆ คาดจะฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรกอาทิธุรกิจป๊อปคอร์นที่เลิกใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาและหาช่องทางการขายใหม่ ๆ มากขึ้น ส่วนรายได้โฆษณาคาดดีขึ้น เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่เข้าฉายมากขึ้นกว่าทั้งครึ่งปีแรกและปีก่อน
.
ส่วนประเด็นข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตนอกประเทศสหรัฐฯ มองเป็น Sentiment ลบต่อหุ้น MAJOR ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงจาก 1) ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ถ่ายทำในต่างประเทศอาจลดลง หรือชะลอการผลิต เนื่องจากผลกระทบของภาษี 2) หากสตูดิโอสหรัฐฯ ต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น หรือถูกตอบโต้จากประเทศอื่นก็อาจส่งผลให้ค่าลิขสิทธิ์ในการนำภาพยนตร์เข้าฉายในต่างประเทศแพงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังไม่ได้เกิดขึ้น ต้องติดตามต่อไป
ที่มา.. Wealthy Thai