
สวัสดีเช้าอาทิตย์ มาต่อกันเลย ไม่ดองสรุปฮะเดี๋ยววันนี้มี session ใหญ่อีก 555


พี่เชาว์ เฉลิมเดช
พี่โต Billionaire VI
พี่แดม ชนาเมธ
.
.
.


พี่เชาว์ : บริษัทดังกล่าวต้องมี รายได้ กำไร ปันผล Cash flow 4 อย่างและมีการเติบโตอย่างยาวนานมาเป็น 10 ปี
พี่โต : มองลักษณะคล้ายกันกับพี่เชาว์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ Net profit และ Cash Flow แต่ขอเสริมว่าในอเมริกาหากหุ้นที่ยังมีผู้ชนะไม่ชัดเจนอาจมีสิทธิเจอ super super stock เบิ้ลไปเลย
พี่แดม : อาจจะไม่พูดถึงราคาหุ้นหรือโต 10 เด้งใน 10 ปีแล้วกันแต่จะให้คุณลักษณะสำคัญที่มองหาอยู่ 3 อย่าง



คือ หา 3 อย่างนี้เจอเราก็ไม่รู้หรอกมันจะไป 10 เด้ง 100 เด้ง เพราะในไทยขนาดไม่ใช่ super stock ก็ยังไปได้ในแง่ของราคา
.
.
.


พี่เชาว์ : ถ้าเทียบกับ Super Stock แบบดั้งเดิม ก็คือมี Moats และการเติบโตอย่างยั่งยืน แต่พอเป็นหุ้นอเมริกาก็อาจจะต้องมีในส่วนของ Networking Effect หรือ High Switching Cost เพิ่มเติมด้วย
พี่โต : เห็นด้วยกับส่วนของพี่เชาว์เรื่อง Moats และการเติบโต แต่ขอเสริมเรื่องสินค้าและบริการที่จะมาแก้ pain point ได้ด้วยตอบโจทย์แก้ปัญหาของผู้คน ก็จะน่าสนใจ อย่างพวก Fin Tech ที่มาแก้ปัญหาพวกบัตรเครดิตที่ชาร์จไปไม่สิ้นสุด หรือธุรกิจ Cloud ก็มาแก้ปัญหาเกี่ยวกับองค์กรได้ คือ Moats หรือการเติบโตก็ดีแค่ระดับนึง แต่ TAM ที่ใหญ่ตอบโจทย์ในระยะยาวและถ้ามีการแก้ pain point ด้วยก็จะดีมาก หรือกระทั่ง Tesla เองก็ถือว่ามาแก้ปัญทางด้านพลังงานแม้ช่วงแรกจะดูไม่แน่นอน
พี่แดม : ให้ภาพว่าสมัยการหา Super Stock ในไทยก็คือหุ้นที่มีสิทธิครองตลาดในประเทศได้ กระทั่งเวียดนาม กระทั่งจีน แต่หุ้นอเมริกาเวลาครองตลาดไม่ได้ตั้งใจจะครองตลาดแค่ในประเทศ เขาเล็งโตทั่วโลกอันนี้คือความต่าง แม้เศรษฐกิจอเมริกาอาจจะเต็มแล้วไม่โตแล้วก็ไม่เกี่ยวถ้าเค้าจะไปครองโลก
.
.
.


พี่เชาว์ : ยังลงทุนอยู่ในไทย 90% อยู่ในต่างประเทศประมาณ 10% แบ่งเป็นอเมริกา จีน เวียดนาม และประเทศอื่นๆ แต่พอหุ้นตกอาจจะต่ำ 10% หน่อยแล้วยังถือว่าไม่ได้ไปเยอะโดย แต่ย้อนไปถึงเหตุผลที่เริ่มไปลงทุนในอเมริกา คือ มีหน้าปก The Economist เล่มนึง ลักษณะเป็นแผ่นดินแยกออกจากกันเป็นโลกเก่ากับโลกใหม่ เรียกว่า Correlation ติดลบ การกระจายความเสี่ยงไปยังโลกใหม่บ้างไปหุ้น High Tech บ้าง ให้ฝั่งนึงขึ้นฝั่งนึงลงกระจายๆ ธีมที่สนใจ คือ E-commerce, Payment และ Gaming
พี่โต : ปีที่แล้วเพิ่งขายหุ้นไทยทิ้งหมดเลยเป็นหุ้นอเมริกา 90% หุ้นจีน 10% แต่เป็นกองทุน RMF ซัก 7% ลงตรงแค่ 3% ธีมที่มองจะเลือกเป็น Cloud computing เป็นสายงานที่ทำงานอยู่ (พี่โตอยู่ AWS) ซึ่ง Cloud ถือว่าเป็น Infrastructure ที่มี used case อยู่เบื้องธุรกิจอื่นๆในปัจจุบันไม่ว่าจะโยงไป EV, Fintech, Healthcare หรือ E-commerce ก็ตาม อย่าง Cloud provider 3 รายใหญ่อย่าง AWS, Azure ของ MSFT และ Google Cloud ครอง Mkt share ไปกว่า 70% ทั่วโลก (จำของจีนเมื่อเช้าได้มั้ย Alicloud 31% และเป็น No.1 ในจีนแต่ Mkt share ในโลกมาอันดับ 4 เลขตัวเดียว) ซึ่งมีตัวเลขว่ามีโอกาสใหญ่ได้ถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือโตปีละประมาณ 17% จากปี 2022 นี้ไป
ธีมที่ 2 ที่พี่โตสนใจคือพวก social platforms พวก Tiktok IG เพราะมีผู้ใช้ผู้ติดตามเยอะและขายของอะไรก็อยู่บนนั้น อีกธีมก็คือ Fintech เพราะเชื่อว่ามันมาแก้ pain point เรื่องบัตรเครดิตจริงๆ Visa Mastercard ผูกขาดในโลกมายาวๆ 60-70 ปี แต่ก็มีความเห็นว่าอย่าเพิ่งรีบซื้อเพราะบางกิจการก็ดูไม่มีกำไรอาจจะผันผวนได้
พี่แดม : ถ้านับแค่หุ้นจะอยู่ในหุ้นอเมริกา 100% แต่ wealth โดยรวมคือเป็นหุ้น 80% แล้วลงทุนผ่าน VC 20% ด้วยความชอบส่วนตัวและต้องการที่จะศึกษาหาความรู้เชิงลึกจากการลงทุนใน Start Up เพราะหุ้น Tech อเมริกาก็คือ Start Up มาก่อน ก็คือมองว่าเป็นทางศึกษาสิ่งที่จะเกิดขึ้นใน 4-5 ปีข้างหน้า อะไรกำลังจะเข้ามาในตลาด หุ้นตัวเองไป disrupt คนอื่น แต่ก็กลัวอย่างอื่นมา disrupt เหมือนกัน
ส่วนธีมหรือกลุ่มธุรกิจที่สนใจก็แบ่งเป็น 3 ธีมเช่นกัน



พี่เชาว์ : เสริมว่า E-commerce จริงที่สนใจและลงไม่ได้ชอบอเมริกากว่าหรืออะไร ก็ดูมันทุกประเทศที่มีแวว เพียงแต่การติดตามข้อมูลภาษาอังกฤษทำกับบริษัทอเมริกาได้ง่ายกว่า ง่ายกว่าจีนหรือที่อื่นๆ ไม่จำกัดประเทศ เพราะมองว่าเป็น Digital ทั้งสิ้น อาจจะไปใน area อื่นๆ ทั้ง Doordash Meituan Etsy ก็มี Specialty E-commerce อีกมากกระทั่ง Upwork Fiverr (พี่แดมเสริม super app ของ Tencent ด้วย)
พี่โต : เสริมเรื่อง Super app ฝั่งจีนว่าดูล้ำกว่าอเมริกา เพราะอเมริกาจะดูแยกๆกัน อีกเรื่องที่สำคัญคือประเด็น IDFA จาก Apple ที่โยงถึง Data privacy นั่นอาจจะทำให้การ track ข้อมูลทำการตลาดยิง Ads ทำได้ยากขึ้นอย่างที่ทราบกัน FB ก็สะเทือนอย่างที่เห็นกันไป แต่อีกเทรนด์ที่พี่โตแชร์คือ Data ก็ยังสำคัญแล้วแต่ละเจ้านี่แหละจะทำ Data ของตัวเอง + SaaS เพราะฉะนั้น Upsell/Cross-sell ต้องมีอีกมาก ส่วนเรื่องจังหวะตลาดพี่โตก็ลงทุนอยู่ในหุ้น 100% ตลอดก็อาจจะเป็นข้อเสียไม่ยืดหยุ่นแต่ก็ยังดีที่ยังทำงานประจำ
พี่แดม : เสริมเรื่อง Super app ในจีน mention ได้ถูกจุดเลยเรื่องการไปได้ดีในจีนและอเมริกาไปยากจากประเด็นของข้อมูลนี่แหละ ยังเคยถามพี่โตว่าเส้นทางของ E-commerce เจ้าไหนก็ตามก็ต้องก้าวไปสู่การทำ Payment ที่เหมือนจะเหลือแค่ Amazon ที่ยังไม่ยอมทำ Apple IDFA แต่มันก็ต้องเป็นไป โดยใครที่มี OS ในมือก็จะครองความได้เปรียบไว้ ส่วน DTC (Direct to Customer) และ Platforms ก็จะตามมา
.
.
.


พี่แดม : ออกตัวเลยว่าน่าจะได้รับผลกระทบเยอะที่สุดจากสไตล์ที่ลงทุน โดยเน้นหุ้น Tech ที่เป็น Mid/small cap อยู่ท่ามกลางพายุแต่ในแง่กิจการก็ยังมองว่ามั่นใจ ในช่วงที่ผ่านมาเลยมีการลดพอร์ต ถือเงินสด ด้วยเหตุผลของการบริหารจิตใจและความเครียดภายในบ้านเนื่องจากภรรยาท้องเลยไม่อยากให้ความเครียดภายในบ้านเยอะไป (ยินดีด้วยครับพี่แดม) แต่ไม่ใช่ว่าลดพอร์ตด้วยเหตุผลของการลงทุน ถ้าตัวคนเดียวก็คิดว่าคงถือต่อไป แต่พอสถานการณ์โอเคขึ้นก็กลับมาเริ่มซื้อต่อแล้วตอนนี้ เน้นที่ตัวธุรกิจ เพราะจะรอแล้วซื้อที่ Bottom ได้คงยากมากสถานการณ์คงไม่ลากยาวไปเกิน 6 เดือน – 1 ปีเพราะเจอแบบนี้มา 3-4 เดือนแล้ว คือกิจการไม่กระทบ ลงเพราะบรรยากาศตลาดก็ปล่อยไป
โดยแผนที่วางไว้คือ เพิ่มสัดส่วนหุ้น Mega Cap มากขึ้นเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงขึ้นเพราะยักษ์ใหญ่ในอเมริกาก็ยังโตได้และผันผวนไม่เท่าพวกกลางเล็ก อย่างพวกที่ประกาศงบมาแล้ว MSFT – Microsoft ก็งบออกมา ok แถมงบจะออกค่อนข้างเร็ว รวมถึงกิจการเขา based Cloud ซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่พอจะสะท้อนได้ว่าถ้าตัวมันดี ตัวอื่นๆก็น่าจะดี และพยายามไม่กะเก็ง Market Timing
พี่เชาว์ : มองเรื่อง Portfolio management การ Diversified เป็นเรื่องสำคัญ การหา Negative Correlation จากทั้ง Old economy – New Economy เลยมองเป็นข้อดี ฝั่งไหนขึ้นก็ trim ฝั่งนั้นมาเติมตัวที่ลงที่คัดมาแล้วว่าดี Vice versa ไหลไปไหลมา ซึ่งนาทีนี้ไม่ใช่เวลาขายแล้วเป็นเวลาซื้อมากกว่าแต่ต้องทำการบ้านมาอย่างดี แม้ว่านาทีนี้อาจจะยังมีผลของ low base effect ที่กำลังจะมีตัวเลขโตปกติรวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยจาก FED เองที่เป็น 2 แรงกดดันที่ชัดเจน เพราะงั้นหุ้นลงให้มองเหมือนเสื้อผ้ารองเท้าลดราคานั่นแหละ แต่คนส่วนใหญ่จะทำตรงข้าม วิ่งหนีเวลาหุ้นลงแต่ก็เห็นด้วยเรื่องการบริหารจิตใจ ครอบครัวสร้างสมดุลไป
พี่เชาว์มองว่าคำว่า “Edge” สำคัญ คืออย่างหุ้นไทยที่พี่เชาว์ถือนี่ก็มั่นใจว่าเป็น Top 1% ของคนที่เข้าใจกิจการนั้นเลย ในขณะที่ไปลงต่างประเทศก็ต้องแลกกับอันดับที่ว่านี้ที่ลดลง หรือพวกที่มาจาก Start Up ก็จะมี VC ที่ลงทุนมาก่อนอยู่แล้วอย่างที่พี่เชาว์ไปลง Unity Software จะไปรู้เท่า Sequoia VC ที่ลงมาก่อนได้ไง คิดว่าตัวเองคงรู้น้อยกว่า Top 50% ก็เสีย Edge ไป แต่ถ้าเรา Seeking Alpha ลำบาก ก็หาประโยชน์จากความผันผวนของตลาด หรือ Beta แทน
พี่โต : แนะนำว่าถ้าไปลงก็อย่าลงหุ้น Mid small cap ซะทั้งหมด เริ่มที่ Large cap ก็จะเสียงน้อยหน่อยแล้วค่อยๆ ขยายขอบข่ายความรู้ออกไป รวมถึงหุ้นจีนเองก็น่าเข้าไปศึกษาในช่วง Valuation ถูกแบบนี้ ส่วนประเด็นของพวกหุ้นที่เป็น dual list ก็ควรจะต้องระวังหรือตัวพี่โตเองก็เคยลง BABA แต่พอมันลงมาแถว 180 เหรียญก็รู้สึกว่ามันไม่แน่นอนรวมถึงเห็นเองหลายครั้งว่ามี alert ให้ convert หุ้นไปเป็น H share รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ก็มี switch ไปแล้วก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดไม่น้อย
พี่แดม : เสริมประเด็นนี้ว่าจริงๆมันคือภาวะสงครามเลย ช่วงสงครามโลกก็เกิดเพราะเยอรมันมีแสนยานุภาพขึ้นมางัดข้อกับฝั่งอเมริกาและสัมพันธมิตร ในขณะที่สงครามเย็นอเมริกาก็งัดกับรัสเซีย มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จีนควรปล่อยให้บริษัทอันดับ 1 อันดับ 2 ของตัวเองไป listed ในแดนคู่แข่ง เพราะนึกย้อนไปสมัยรัสเซียก็คงแปลกดีถ้าบริษัทน้ำมันของรัสเซียไป listed ในอเมริกา หรืออย่างน้อยๆต้องไม่ดื้อแพ่งเหมือนอย่างกรณี Didi เพราะอาจจะกระทบพื้นฐานของกิจการไปเลย
โดยส่วนการปรับพอร์ตหรือเริ่มลงทุนพี่แดมก็เห็นด้วยเรื่องการเริ่มด้วยหุ้นใหญ่เพราะตัวแกเองก็เริ่มด้วยหุ้นกลุ่ม FAANG ช่วงปี 2017 ค่อยๆ ขยับเข้าสู่ Mid/Small tech แต่ถ้าเทียบกับ ARK หรือ Baillie Gifford จะเห็นว่าเขาเป็น Pure Tech กันซึ่งก็อาจจะผันผวนแรง แต่อย่าง Baillie Gifford ก็ดูกระจายตัวได้ดีเป็น US 50% จีน 30% ยุโรป 20% ซึ่งมีส่วนของ Kering ซึ่งเป็นแนวแฟชั่น (บอก Kering อาจจะงง บอกเจ้าชองแบรนด์ Gucci YSL Bottega Veneta Balenciaga งี้) หรือ ASML ก็ผู้ผลิตชิพ
พี่เชาว์ : เสริมว่าแม้เราจะคาดการณ์ตลาดไม่ได้ แต่เราเตรียมตัวได้ จงระลึกว่า No matter what happens, I’ll survive and sleep well. อย่างดอกเบี้ยขึ้นก็ไม่ควรมานั่งขายหรืออะไร แต่ควรมองแต่แรกว่ากิจการที่เราเลือกไม่ควรจะมีผลกับทั้งดอกเบี้ยขึ้นหรือลงตั้งแต่ตอนซื้อกระจายๆ ไว้ ทำ scenarios หลายแบบไว้เพื่อรับมือ
พี่โต : เสริมว่าคนไทยชอบซื้อตามๆกันช่วงมันดังก็อาจจะทำให้ติดดอยกอง แถมไปขายตอนมันลงหนัก จริงๆ ควรทำตรงข้าม หรือจริงๆก็มีสถิติว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ทั้ง 12 ครั้งตั้งแต่ปี 1950 มีถึง 11 ครั้งที่หุ้นขึ้นต่อเฉลี่ย 9.17% 1 ปีหลังจากนั้น คือตรงนี้มันก็ลงมาเยอะแล้ว มันไม่ควรจะลงไปต่อเป็น 50% อะไรแบบนี้
พี่แดม : มองว่าส่วนตัวสิ่งที่ทำผิดพลาดในปีที่ผ่านมาคือไม่จัดพอร์ตแบบ diversified ให้มีหุ้น Mega cap เข้ามาบ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ใช้ Margin เพราะหุ้นตัวเองถือว่าลงมา 50% จากจุดสูงสุดถ้าใช้ margin คือหมดตัวเลย แล้วจะกลับมายากมาก ถ้ามือใหม่มองว่าพี่เชาว์มีช่วงที่ใช้ margin ก็อย่าไปเลียนแบบเพราะพี่เชาว์มีการกระจายพอร์ตที่ดีแถมมีปะสบการณ์ลงทุนมานาน และแม้ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยก็ให้ขึ้นไปแต่จะพยายามหาหุ้นที่มี Free cash flow เป็นบวก ต่างกับปีโควิดที่ยอมซื้อแบบ FCF ติดลบ เพราะอะไร ก็เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นอาจหมายถึงบริษัทนั้นจะรอดหรือไม่รอดเลย บริษัทอาจจะไม่กลัวขาดทุน แต่ถ้าไม่มีเงินหมุนจะลำบาก เพราะการ raised fund ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นจะยากกว่าช่วงดอกเบี้ยต่ำ หรือถ้าต้นทุนไม่สูงขึ้นก็ต้องแลกกับหุ้นที่มากขึ้น เกิด dilution กับ co founder ต้องประเมินให้ดีว่าอยู่ได้กี่เดือน
พี่เชาว์ : เลยย้ำเรื่องคาดการณ์ตลาดไม่ได้ แต่เราเตรียมตัวได้อีกรอบ เพราะสถานการณ์ตอนนี้ต่างกับปี 2008 ที่ลงพร้อมกันหมด เรียกว่า correlation = 1 แต่นาทีนี้ติดลบคือมันสวนทางกันก็บริหารจัดการได้ดีกว่าจากการกระจาย
พี่โต : เลยเสริมว่าประสบการณ์เมื่อเจอวิกฤติครั้งที่ทำได้ไม่ดีคือไปขายล้างพอร์ตเพราะคิดว่าหุ้นจะลง สุดท้ายมันไม่ลงและซื้อกลับไม่ได้ก็เสียโอกาส เลยเปรียบเทียบว่าตัวเองเป็นกัปตันเรือ จะหดลงบ้าง -50% แต่ถ้าปลายทางไปถึงเกาะมหาสมบัติได้ก็โอเค
พี่แดม : เห็นด้วยกับประเด็นที่เราคาดการณ์ไม่ได้แต่เตรียมตัวเตรียมใจได้ อย่างปีก่อนก็จะคุยเล่นๆกับที่บ้านว่าพอร์ตขึ้นไปถึงเท่านั้นเท่านี้แล้วนะก็คิดเสมอว่าจริงๆมีเพียงครึ่งเดียว แต่บังเอิญมันเกิดขึ้นมาจริงๆในปีถัดมา ต้องเรียกว่าเตรียมใจมาแล้ว แต่จัดพอร์ตได้ไม่ดี ถ้าจัดแบบพี่เชาว์พี่โตก็ดีแล้ว คำแนะนำจริงๆ คือ เตรียมใจเตรียมแผนจัดพอร์ตรับมือ ส่วนที่บอกขายที่สูงๆ แล้วกลับมาซื้อต่ำๆใหม่ มันทำได้ยากมากๆในชีวิตจริง
.
.
.


พี่เชาว์ : นอกจากคำว่า Greed and Fear ในตลาดทุนทั่วไปแล้วนะ ปีของการลงทุนในหุ้น Tech ยังมีคำว่า FOMO หรือ Fear of Missing Out ด้วย คือ กลัวตกรถกันจนเกินไป เพราะหลายปีที่ผ่านมาหุ้น Tech ก็ขึ้นมาเรื่อยๆจริงๆ ถ้าเทียบ playbook ของ VI ปกติต้องบอกว่าไม่มีทางไปไล่ซื้อ ชอบซื้อหุ้นที่ยังไม่ขึ้นมากกว่า พอคนรู้เยอะขึ้นก็กำไรหลังจากหุ้นขึ้นต่อเยอะๆ แต่อย่างกรณีหุ้น Tech ทั้งผลประกอบการและราคาก็โตอย่างต่อเนื่องจนรู้สึกว่าถ้ามันไม่พักเลยล่ะ ก็จะพลาดโอกาสสำคัญ แน่นอนว่าถ้ามองย้อนไปก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดพลาดมากนักเพราะมอง scenarios ไว้แล้วว่าจังหวะที่ซื้อถือว่าเสี่ยงแต่อาจจะมีโอกาสตกลงซัก 60% แต่มีโอกาสที่จะขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น 10 ปี 40% คร่าวๆให้พอเห็นภาพ อาจจะยิ่งพลาดโอกาสสำคัญ เพียงแต่มันเกิดในแบบที่มันตกลง การ diversified port หรือจัดสรรสัดส่วนที่โอเคก็จะลดผลกระทบได้
พี่โต : ขอแชร์ซัก 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือช่วงตลาดขึ้นเยอะแล้วกำไรเยอะ ต้องระลึกไว้ว่าอาจจะไม่ใช่เราที่เก่ง แต่เป็นตลาดต่างหากที่เก่งที่ขึ้นให้เราต่างหาก อย่างย้อนไปซื้อ Airbnb ช่วง IPO เข้ามาก็กำไรอย่างรวดเร็วซึ่งฟลุคมาก ก็เลยซื้อ IPO ตัวอื่นๆอีก ก็เริ่มขาดทุน บางตัวขาดทุน -50% กระทั่ง Warren Buffett เองยังเคยพูดว่าหุ้น IPO เนี่ย “It’s probably missing price” คือราคาเขาขายเข้ามาก็ต้องแพงอยู่แล้ว
อีกข้อคือ นอกจากภาพ Macro เศรษฐกิจในเชิง Global เราควรต้องศึกษาประเด็นปลีกย่อยหรือโครงสร้างภายในประเทศที่เราไปลงทุนด้วยนะเพราะอย่างอเมริกาใต้เองก็มีเงินเฟ้อที่สูง 10% ปลายๆ ไหนจะเรื่องค่าเงิน ดอกเบี้ยที่อาจจะขึ้นเร็วก็อาจจะกระทบผลตอบแทนได้ หรือยกตัวอย่างจีนก็ชัดเจนเรื่องความเสี่ยงจากทางการของเขาเองเป็น policy risk ต้องดูรายละเอียดของประเทศที่เราไปไว้ด้วย
พี่แดม : มองคล้ายๆพี่โต ย้อนไปช่วงผลตอบแทนมโหฬารก็คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลกเลยนาทีนั้น ซื้ออะไรก็ขึ้นหมด มีน้องท่านนึงเคยบอกว่าอย่างตลาดอเมริกาไม่ได้มี inside แต่มี insight เพราะงั้นต้องระวังเหมือนกัน ในช่วงเวลาที่ Ego อาจจะสูง คือคำเตือนข้อคิดจาก Warren Buffett ถามว่าทุกคนรู้มั้ยก็รู้ เคยได้ยินเคยอ่านมาทั้งนั้น แต่เจอเองถึงจะรู้ซึ้ง อย่างที่ว่าไปเพิ่มสัดส่วนหุ้นใหญ่ไว้บ้าง เลี่ยงการใช้ margin บริหารจิตใจได้น่าจะดีที่สุด
.
.
.
ขอบคุณพี่เชาว์ พี่โต พี่แดม มากๆครับ ได้ความรู้ล้นเหลือเสมอเลย ขอบคุณทีมงาน VVI ด้วยครับ
มี Q&A อีกเล็กน้อยเดี๋ยวไว้มาเติมให้ครับ ส่วน Q&A อีก 1 ชม เต็มโดยทั้ง 3 ท่านจากนั้นคงไม่ take note ขออนุญาตให้เกียรติเป็น exclusive ของทางเพจนะครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์ครับ