หุ้นใกล้ 1500 ว่าไงดี?
ดัชนีหุ้นไทยขณะนี้ ขึ้นเร็วมากจนใกล้ที่ระดับ 1,500 เมื่อไปเทียบกับ EPS ปี 2563 ของตลาด คาดว่าราคาหุ้นไทยอาจใกล้ถึงจุดพักตัว รอ EPS ขึ้นตามมาเป็นเพื่อน และเหวี่ยงเป็น Sideways กว้างสักพักหนึ่ง ]น่าทำกำไรสักเสี้ยวนึง น่าจะเลื่อนสูงขึ้น มาที่ 1350-1400
คืบหน้าอีกของวัคซีนโควิดที่นำโดย Pfizer และตามติดด้วย Moderna เป็นปัจจัยหลักที่ดึง fund flow กลับเข้าตลาดหุ้นทั่วโลก จนฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนหุ้นไทยนั้นก็สามารถขึ้นทะลุเพดาน 1,400 ต่อเนื่องจนเกือบถึง 1,500 จุดแล้ว
ล่าสุดนี้มีผู้ผลิตวัคซีนรวม 10 รายที่มีความคืบหน้าในการทดสอบ จนมีประสิทธิภาพในระดับที่สบายใจ และรายสำคัญอย่าง Pfizer จะเริ่มผลิตล็อตแรกได้ 50 ร้านโดส ในปลายธันวาคมนี้และมีรายอื่นๆ ขยับจ่อตามมา
แม้วัคซีนวันนี้ ยังไม่สามารถส่งให้ทั่วโลกได้ใช้ แต่ผมคิดว่าทั่วโลกยังมีกระแสตอบรับทางบวกกับจังหวะความคืบหน้าของวัคซีนได้อีกระดับหนึ่ง
Fund flow ที่เพิ่งไหลกลับเข้ามายังสินทรัพย์เสี่ยงรวมถึงหุ้นไทย ยังน่าจะไหลเข้ามาอีกระยะหนึ่ง
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัวนั้นก็น่าจะแข็งแรงขึ้นอีกในปี 2564 ตลาดหุ้นโลกปี 2564 น่าจะฟื้นตัวได้แต่ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะราคาหุ้นโลกได้ขานรับการฟื้นตัวไปก่อน จนดัชนีหุ้นหลายประเทศ year to date เป็นบวกไปแล้วเหมือนกับไม่เคยมีโควิดเกิดขึ้น
นอกจากเรื่องข้างต้น ประเด็นการลงทุนในโลก คงต้องให้น้ำหนักเรื่องสหรัฐฯกับประธานาธิบดีไบเดน ซึ่งหวังว่าสงครามการค้าโลกคงไม่รุนแรงเท่าเดิม นอกจากนั้น ประเด็นที่คุณไบเดน มีแนวคิดจะขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐถูกลดแรงส่งขาขึ้นผมคิดว่า หุ้นเอเชียน่าจะได้ประโยชน์จาก 2 ประเด็นข้างต้น
ขยับมามอง ภาวะเศรษฐกิจไทยเราเองไตรมาส 4 นี้ คงจะฟื้นตัวติดลบ YoY น้อยลง รวมถึงไตรมาสแรกปี 2564 ที่ Growth ติดลบอีกที และไปฟื้นจริงไตรมาส 2 ของปี 2564
อย่างไรก็ตามผมมีข้อสังเกตว่าตัวเลขการฟื้นตัวของไทยน้อยกว่าประเทศส่วนใหญ่
ส่วนหนึ่งนั้น เป็นเพราะภาคที่ยังติดขัดที่สุดในโลกขณะนี้ คือการท่องเที่ยวข้ามประเทศ ซึ่งไทยมีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศสูงมากราว 10% ของ GDP นอกจากนั้น ด้านการเติบโตของการส่งออกของไทย แม้จะฟื้นตัวบ้าง แต่ยังติดลบอยู่พอประมาณ
ขณะนี้ประมาณการล่าสุดโดยเฉลี่ยของนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP ไทยโดยรวมของปี 2563 จะติดลบประมาณ 6-7% และจะฟื้นตัวในปีหน้า 3-4% ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้ราคาหุ้นฟื้นก่อนตัวเลขเศรษฐกิจ 3-6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นไทยขณะนี้ ขึ้นเร็วมากจนใกล้ที่ระดับ 1,500 เมื่อไปเทียบกับ EPS ปี 2563 ของตลาด ซึ่งคงลดลงมาเหลือ 50 บาท จึงคิดเป็น P/E63 ถึง 30 เท่า ซึ่งถือเป็นระดับใกล้จุดสูงสุดตลอดชีวิตตลาดหุ้นไทย ซึ่งระดับสูงสุดนั้นเคยอยู่ประมาณ 31 เท่า
แต่จุดนี้คงไม่ถึงขั้นให้หุ้นลงถล่มทลายเหมือนครั้งอดีตที่ PE แตะ 31 เท่า เมื่อปี 2533 และปี 2537 ทั้งนี้เพราะเราอยู่รอยต่อข้ามไปปี 2564 ที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวครึ่งทางของการตกต่ำในปี 2564 คือกลับมาเติบโต 3-4% ซึ่งจะทำให้ EPS ของตลาดฟื้นตัวครึ่งทาง ไปที่ 69 บาท ณ ระดับ 1,450-1,500 นั้น P/E 64 อยู่ที่ 21-22 เท่า ซึ่งเป็นระดับอิ่มตัวของขาขึ้น
ผมคาดว่าราคาหุ้นไทยอาจใกล้ถึงจุดพักตัว รอ EPS ขึ้นตามมาเป็นเพื่อน และเหวี่ยงเป็น Sideways กว้างสักพักหนึ่ง ระดับแนวต้าน 1500 น่าทำกำไรสักเสี้ยวนึง ส่วนแนวรับใหญ่น่าจะเลื่อนสูงขึ้น มาที่ 1,350-1,400 คิดเป็น P/E 64 ที่ 19.5-20 เท่า
ประเด็นทั้งหมดข้างต้น ผมมีข้อสรุปกับการลงทุนดังนี้ครับ
• หุ้นไทย ถือ 20% ของพอร์ตการลงทุน เพิ่มความสนใจหุ้นที่ถูกหวาดวิตกช่วงโควิดที่เศรษฐกิจติดลบ เช่น หุ้นธนาคาร หุ้นการค้าปลีก กองทุน REIT
• เลือกรายตัวนั้น ผมแนะนำให้เข้าใช้ข้อมูล IAA Consensus ที่รวบรวมจากสมาชิกของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ และโดยการสนับสนุนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใส่ไว้ใน www.settrade.com ตาม Link นี้ครับ https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus ตัวอย่างหุ้นใน SET50 ที่มีมูลค่าสูงกว่าราคา ณ 8 ธ.ค.2563 ได้แก่ CPF EGCO CBG ส่วนหุ้นธนาคารนั้นนำโดย KBANK TISCO เป็นต้น
• ควรลงทุนในกองทุนหุ้นโลก เพื่อกระจายความไม่แน่นอน 10% ต่อไป
• กองทุนทองคำหรือทองคำแท่ง ที่ราคาไม่เกิน 27,000 บาท ลงทุน 15% แนวโน้มปี 2564 ยังขึ้นได้ต่อ แม้ระยะสั้นทองมักสวนทางกับหุ้น แต่ในรายปีนั้นราคาทองขึ้นพร้อมกับหุ้นโลกได้บ่อยๆ
• กองทุนพันธบัตรไทย แบ่งไว้ 55% รอจังหวะ ราคาหุ้นปรับตัว ค่อยแบ่งย้ายไปเพิ่มในหุ้นครับ
ขอบคุณคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก