เพื่อนๆ นักลงทุนคงจะคุ้นเคยกับคําว่า " ปรับฐาน " เป็นอย่างดี เพราะเมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงจนถึงจุดใดจุดหนึ่งอย่างมีนัยสําคัญ ก็มักจะคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับฐานเกิดขึ้น หรือ แม้กระทั่งตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวขึ้นจาก 1,561 จุด จนมาถึง 1,800 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมทั้งสี้น 239 จุด ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561 มาจนถึงปัจจุบัน โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเศษๆ ก็คาดการณ์กันว่าจะมีการปรับฐานเกิดขึ้น เช่นเดียวกัน
ผู้โพสต์มีความเห็นว่าการ " ปรับฐาน " อย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อตลาดอยู่ในสภาวะ ผันผวน หรือ ไร้ทิศทาง ( SideWay หรือ Trendless ) เท่านั้น แต่ถ้าตลาดอยู่ใน สภาวะกระทิง หรือ หมี ( Bull หรือ Bear ) การปรับฐานจะไม่เกิดขึ้นเลย
ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้คือ :
1) สภาวะตลาดหมีครั้งที่แล้วคือ ตอนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรวดเดียวจาก 915 จุด มาอยู่ที่ 380 จุด ภายในหนึ่งปี โดยแทบจะไม่มีการเด้งขึ้นระหว่างทางเลย คือ ลงรวดเดียวตลอด
2) สภาวะตลาดกระทิงที่เกิดครั้งที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวดเดียวจาก 380 จุด จนไปถึง 1,649 จุด จากวันที่ 26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 จนถึงวันที่ 24 เดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ 2556 หรือ ปรับตัวรวดเดียว 1,269 จุด โดยใช้เวลาประมาณ 4 ปีครึ่ง
3) ตลาดหุ้น Downjones ได้มีการปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) อย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายหน หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการปรับฐานเลย
ผู้โพสต์คาดว่าสภาวะตลาดกระทิงของตลาดหุ้นไทยครั้งนี้ที่เริ่มตั้งแต่ 1,561 จุด เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 น่าจะวิ่งรวดเดียวตลอดโดยจะไม่มีการปรับฐานเลยไปจนถึงช่วงปลายสภาวะตลาดกระทิงในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.75 - 4.00% เหมือนกับกรณี ข้อ 2) ที่ตลาดหุ้นไทยวิ่งรวดเดียวจาก 380 จุด จนถึง 1,649 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,269 จุด ภายในระยะเวลา 4 ปีครึ่ง หรือ เหมือนกับกรณี ข้อ 3) ที่ Downjones ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) หลายครั้งหลายหนหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการปรับฐานเลย
แนวความคิดหรือความเชื่อข้างต้น มีความสําคัญมาก เพราะ การซื้อช่วงต้นของสภาวะตลาดกระทิงแล้วถือยาวไปขายช่วงปลายของสภาวะตลาดกระทิง ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการเล่นรอบในระยะสั้นเหมือนในช่วงตลาด ผันผวน หรือ ไร้ทิศทาง ( SideWay หรือ Trendless ) ซึ่งมักจะเกิดอาการ ขายหมู ตกรถ และ ติดดอย อยู่เป็นประจํา เหมือนกับอาการที่เกิดกับแมงเม่า ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แนวความคิดหรือความเชื่อดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวความคิดของคนส่วนน้อย แต่อย่าลืมว่าแนวความคิดของ Warren Buffett, Steve Jobs, Bill Gates, Jim Rogers หรือ แม้กระทั่ง John Paulson ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของคนส่วนน้อยที่มักจะสวนกระแสคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ เช่นเดียวกัน
หมายเหตุ : 1) ผู้โพสต์ไม่ขอรับประกันการคาดการณ์ของผู้โพสต์ แต่ถ้าการคาดการณ์ของผู้โพสต์ถูกต้อง ผู้โพสต์ขอยกคุณงามความดีให้แก่ อาจารย์ใหญ่ 4 ท่านคือ Warren Buffett, George Soros, Jim Rogers และ Peter Lynch ด้วยความเคารพ
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้น ได้ใน longtunbysak.blogspot.com