ห้องเม่าปีกเหล็ก

ทําไมต้องปรับฐาน?

โดย ศักดิ์
เผยแพร่ :
72 views

                 เพื่อนๆ นักลงทุนคงจะคุ้นเคยกับคําว่า " ปรับฐาน " เป็นอย่างดี เพราะเมื่อตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงจนถึงจุดใดจุดหนึ่งอย่างมีนัยสําคัญ ก็มักจะคาดการณ์กันว่าจะมีการปรับฐานเกิดขึ้น หรือ แม้กระทั่งตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวขึ้นจาก 1,561 จุด จนมาถึง 1,800 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมทั้งสี้น 239 จุด ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2561 มาจนถึงปัจจุบัน โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือนเศษๆ ก็คาดการณ์กันว่าจะมีการปรับฐานเกิดขึ้น เช่นเดียวกัน

                 ผู้โพสต์มีความเห็นว่าการ " ปรับฐาน " อย่างที่นักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อตลาดอยู่ในสภาวะ ผันผวน หรือ ไร้ทิศทาง ( SideWay หรือ Trendless เท่านั้น แต่ถ้าตลาดอยู่ใน สภาวะกระทิง หรือ หมี ( Bull หรือ Bear ) การปรับฐานจะไม่เกิดขึ้นเลย

                 ยกตัวอย่างดังต่อไปนี้คือ :

                 1) สภาวะตลาดหมีครั้งที่แล้วคือ ตอนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรวดเดียวจาก 915 จุด มาอยู่ที่ 380 จุด ภายในหนึ่งปี โดยแทบจะไม่มีการเด้งขึ้นระหว่างทางเลย คือ ลงรวดเดียวตลอด

                 2) สภาวะตลาดกระทิงที่เกิดครั้งที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวดเดียวจาก 380 จุด จนไปถึง 1,649 จุด จากวันที่ ​26 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2551 จนถึงวันที่ 24 เดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ 2556 หรือ ปรับตัวรวดเดียว 1,269 จุด โดยใช้เวลาประมาณ 4 ปีครึ่ง

                 3) ตลาดหุ้น Downjones ได้มีการปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) อย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายหน หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการปรับฐานเลย

                ผู้โพสต์คาดว่าสภาวะตลาดกระทิงของตลาดหุ้นไทยครั้งนี้ที่เริ่มตั้งแต่ 1,561 จุด เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ปี พ.ศ 2560 น่าจะวิ่งรวดเดียวตลอดโดยจะไม่มีการปรับฐานเลยไปจนถึงช่วงปลายสภาวะตลาดกระทิงในช่วงปลายปี พ.ศ 2563 เมื่อ Fed Fund Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับ 3.75 - 4.00% เหมือนกับกรณี ข้อ 2) ที่ตลาดหุ้นไทยวิ่งรวดเดียวจาก 380 จุด จนถึง 1,649 จุด หรือ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,269 จุด ภายในระยะเวลา 4 ปีครึ่ง หรือ เหมือนกับกรณี ข้อ 3) ที่ Downjones ปรับตัวขึ้นไปทําจุดสูงสุดตลอดกาล ( All Time High ) หลายครั้งหลายหนหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี พ.ศ 2559 จนถึงปัจจุบันโดยไม่มีการปรับฐานเลย

                แนวความคิดหรือความเชื่อข้างต้น มีความสําคัญมาก เพราะ การซื้อช่วงต้นของสภาวะตลาดกระทิงแล้วถือยาวไปขายช่วงปลายของสภาวะตลาดกระทิง ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการเล่นรอบในระยะสั้นเหมือนในช่วงตลาด ผันผวน หรือ ไร้ทิศทาง ( SideWay หรือ Trendless ) ซึ่งมักจะเกิดอาการ ขายหมู ตกรถ และ ติดดอย อยู่เป็นประจํา เหมือนกับอาการที่เกิดกับแมงเม่า ในปัจจุบัน

               อย่างไรก็ตาม แนวความคิดหรือความเชื่อดังกล่าวข้างต้นเป็นแนวความคิดของคนส่วนน้อย แต่อย่าลืมว่าแนวความคิดของ Warren Buffett, Steve Jobs, Bill Gates, Jim Rogers หรือ แม้กระทั่ง John Paulson ก็ล้วนแล้วแต่เป็นความคิดของคนส่วนน้อยที่มักจะสวนกระแสคนส่วนใหญ่อยู่เสมอ เช่นเดียวกัน

                หมายเหตุ : 1) ผู้โพสต์ไม่ขอรับประกันการคาดการณ์ของผู้โพสต์ แต่ถ้าการคาดการณ์ของผู้โพสต์ถูกต้อง ผู้โพสต์ขอยกคุณงามความดีให้แก่ อาจารย์ใหญ่ 4 ท่านคือ Warren Buffett, George Soros, Jim Rogers และ Peter Lynch ด้วยความเคารพ

                                 2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้น ได้ใน longtunbysak.blogspot.com

              


ศักดิ์