ห้องเม่าปีกเหล็ก

จังหวะเก็บ “หุ้นปันผล”

โดย eighteen nineteen
เผยแพร่ :
537 views

นักวิเคราะห์ชี้เป็นจังหวะเก็บ “หุ้นปันผล”

เมื่อภาษีขายหุ้นอาจดันต้นทุนพุ่ง 64%

 

.

ในปี 2566 เป็นต้นไป นักลงทุนอาจจะเจอแรงกดดันเข้ามาอีกครั้ง เพราะประเด็นเก็บภาษีขายหุ้น ที่จะเริ่มดำเนินการแล้วนั้น แบ่งเป็น ช่วงแรก 0.05% ราวไตรมาส 2/66 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และช่วงที่ 2 ที่ 0.1% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

.

ประเด็นดังกล่าวทำให้หุ้นปันผลถูกพูดถึงมากที่สุด เพราะต่างวิเคราะห์กันว่า จะเป็น “เกราะป้องกันความผันผวนจากการเก็บภาษีขายหุ้น” ดังนั้นบทความในครั้งนี้ Wealthy Thai จึงได้รวบรวมหุ้นปันผลที่น่าสนใจมาฝากนักลงทุน ที่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์คลาสสิคที่รับมือความผันผวนของตลาดได้ดี

.

หากถอดมุมมองของนักวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอให้จัดเก็บภาษีขายหุ้น อัตรา 0.055% ในช่วงไตรมาส 2/66 และ0.11% ในปี 2567 เป็นต้นไป เบื้องต้นคาดรัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเก็บภาษีในปี 2566 ราว 6.5 พันล้านบาท และปี 2567 ขึ้นมา 1 - 2 หมื่นล้านบาท (อิงจากมูลค่าซื้อขายปี 2565 ต่อปี 17.4 ล้านล้านบาท)

.

นอกจากนี้ยังประเมินสิ่งที่นักลงทุนต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลง หากรัฐบาลมีการเรียกเก็บภาษีขายหุ้นในปี 2566 จะส่งผลต่อนักลงทุนและตลาดหุ้น ประกอบด้วย

.

1. ภาระค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้นสูงขึ้นถึง 64% ของค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันธุรกิจโบรกเกอร์มีค่าคอมมิชชั่นเฉลี่ย 0.086% หากมีการเก็บภาษีขายหุ้น 0.11% (ซึ่งเป็นอัตราการเรียกเก็บภาษีที่กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2534 แต่ก่อนค่าคอมมิชชั่นสูงกว่าปัจจุบันมาก) จะทำให้นักลงทุนมีภาระภาษีที่จ่ายเพิ่มต่อค่าคอมมิชชั่นสูงขึ้นถึง 64% (0.11%/(0.086*2) = 64%)

.

2. ช่วงระยะเวลาในการขึ้นภาษีปีหน้า ยั้งเป็นช่วงที่ตลาดเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ตามกลไกช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น กดดันระดับ P/E ในการซื้อขายจะถูกลดทอนอยู่แล้ว หากขึ้นภาษีตอกย้ำให้สภาพคล่องในระบบลดลงอีก

.

3. ช่วงระยะเวลาในการเก็บภาษีปีหน้าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ช่วง Recession หากมีการขึ้นภาษีเวลานี้ ทำให้เสน่ห์ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจน้อยลงไป

.

4. นักลงทุนต่างชาติเป็นผู้รับภาระค่าคอมมิสชั่น สูงกว่านักลงทุนในประเทศ เนื่องจาก ต่างชาติซื้อขายหุ้นไทยในปีนี้ อยู่ที่ 8.40 ล้านล้านบาท แต่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยทางตรง + NVDR เพียง 28.2% คิดเป็นมูลค่าตลาด 5.58 ล้านล้านบาท แสดงว่ามี Turnover ในการซื้อขายสูงถึง 150% ต่อปี ต่างกับนักลงทุนในประเทศทั้งหมดซื้อขายหุ้นไทยในปีนี้ สูงกว่าต่างชาติเล็กน้อย 9.12 ล้านล้านบาท แต่มีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทย สูงถึง 71.8% คิดเป็นมูลค่าตลาด 14.2 ล้านล้านบาท หรือมีค่าTurnover ในการซื้อขายที่ต่ำกว่า อยู่ที่ 64% ต่อปี

.

5. สถิติในปี 2554-65 (12 ปี) ชี้ให้เห็นว่าผลตอบแทนเฉลี่ยตลาดหุ้นไทยมักไม่ดีในช่วงที่สภาพคล่องซื้อขายต่ำ สะท้อนได้จากข้อมูล Histogram Turnover ของ SET 2554 – 65 เทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยรายวัน พบว่า เวลาที่มูลค่าซื้อขายสูงกว่าค่าเฉลี่ย (Turnover 87% ต่อปี) ถึง +1SD (Turnover 114.5% ต่อปี) ตลาดหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 18.3%

.

แต่ถ้ามูลค่าซื้อขายอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ย (ช่วง -1SD ถึง ค่าเฉลี่ย) ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะลดหลั่นลงมาเหลือ +5.6% ต่อปี แต่เวลาที่มูลค่าซื้อขายต่ำกว่า -1SD (Turnover 59.7% ต่อปี) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ -2.9% ดังนั้นภายใต้มูลค่าซื้อขายที่มีโอกาสลดลงในอนาคต

.

สรุปจาก 5 มุมมองดังกล่าว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคต่อตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องเตรียมเผชิญ น่าจะกระทบต่อทิศทางตลาดช่วงปรับตัวระยะสั้นๆ และกระทบต่อสภาพคล่องระยะยาว

.

หุ้นปันผลเด่น กลยุทธ์รับมือจากภาษีขายหุ้น

นักลงทุนต้องเตรียมปรับกลยุทธ์การลงทุนในปี 2566 ให้เหมาะสมมากขึ้น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยประเมินหุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยนี้ คือ หุ้นธุรกิจหลักทรัพย์, หุ้นขนาดเล็ก P/E สูง แต่กลับมีการซื้อขายหนาแน่น และหุ้นที่มีสัดส่วนการใช้ Margin สูง ซื้อขายหนาแน่น

.

ในทางกลับกันหุ้นที่น่าจะได้รับความสนใจมากขึ้น คือ หุ้นปันผลสูง ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์คลาสสิคที่รับมือความผันผวนของตลาดได้ดี โดยปกติหุ้นปันผลสูงมักจะผันผวนต่ำ สะท้อนได้จากการเปรียบเทียบค่า Beta ย้อนหลัง 1 ปี (แกน Y) กับข้อมูล Dividend Yield (แกน X) ของหุ้นทั้งหมดในตลาด พบว่า มีทิศทางเอียงลงอย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมหุ้นที่มี Dividend Yield สูงๆ มักมีค่า Beta ต่ำ หรือมีความผันผวนที่น้อยกว่าเพื่อน

.

รวมถึงเวลาตลาดปรับฐานแรง ราคาหุ้นก็มักจะย่อตัวได้น้อยกว่าเสมอ สะท้อนจากสถิติในอดีตย้อนหลังในอดีตตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา มีช่วงเวลาที่ SET Index ปรับฐานแรง 11 ครั้ง แต่ SETHD (ตัวแทนหุ้นปันผลสูง) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าถึง 9 ใน 11 ครั้ง และที่สำคัญช่วงต้นปี 2566 ยังถือเป็นจังหวะดีในการเข้าสะสมหุ้นปันผลสูงอีก เนื่องจาก หุ้นปันผลมักจะขึ้นได้โดดเด่นในช่วงไตรมาส 1 ของปีเสมอในปี 58-65 (ไม่นับค่าผิดปกติ หรือ Outlier ช่วงไตรมาส 1/63 ช่วงเกิด Covid-19)

.

ดังนั้นทำการคัดกรองหุ้นปันผลสูง ที่น่าทยอยสะสมได้ตั้งแต่ช่วงท้ายปี 2565 พร้อมกับคาดหวังผลตอบแทนได้ทั้งในระยะ 3 เดือนข้างหน้า หรือในระยะยาว โดยผ่าน 4 เงื่อนไขเบื้องต้น 1.เป็นหุ้นที่มี Dividend Yield65F > 3% ต่อปี 2.เป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ "ซื้อ" และมี Upside >0%

.

แบ่งหุ้นปันผลสูงออกเป็น 3 กลุ่ม 1. หุ้นปันผลสูง จ่ายปีละครั้ง ชอบ TISCO AP ASK NOBLE 2. หุ้นปันผลสูง ผันผวนต่ำ ชอบ QH DCC TTW EGCO และ3. หุ้นปันผลสูง มี ESG Score สูง ชอบ SCB RATCH PTT ADVANC โดย Top picks เลือก AP, ASK, NOBLE, TTW ADVANC, SCB

.

AP (ราคาเป้าหมาย 15.50 บาท) หุ้นเด่นได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐที่มีแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/65 ทำจุดสูงสุดของปี หนุนจากส่งมอบ Backlog แนวราบที่ยกมาจากไตรมาสก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็นหุ้นอสังหาฯไม่กี่ตัวที่จ่ายปันผลปีละครั้ง โดยคาดหวังปันผลได้สูงถึง 5.75%ต่อปี

.

ASK (ราคาเป้าหมาย 46 บาท) แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/65 เติบโตจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน จากแนวโน้มสินเชื่อเติบโตต่อเนื่อง หนุนรายได้ดอกเบี้ยรับเติบโต ราคาหุ้นปรับฐานลงมาจน Upside เปิดกว้าง พร้อมกับคาดหวังปันผลได้สูงถึง 4% ต่อปี (จ่ายปันผลปีละครั้ง)

.

NOBLE (ราคาเป้าหมาย 5.66 บาท) ประเมินกำไรไตรมาส 4/65 จะสูงสุดของปี จากโอนฯ ต่อเนื่องของ 2 คอนโดฯ ใหม่ที่เริ่มไตรมาส 3/65 และอีก 3 โครงการใหม่ในไตรมาส 4/65 ขณะที่ปี 2566 จะมีคอนโดฯใหม่กำหนดสร้างเสร็จรวม 4 โครงการ ในการผลักดันกำไรปีหน้าฟื้นตัวมากขึ้น อีกทั้งยังคาดหวังปันผลงวดครึ่งหลังปี 65 ได้สูงถึง 4.6%

.

TTW (ราคาเป้าหมาย 10 บาท) เป็นหุ้นผันผวนต่ำ (มีค่า Beta เพียง 0.61) คาดหวังปันผลได้สูงถึง 6.7% ต่อปี ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นต่อสัญญาใหม่โครงการ PTW กับ คปภ. แม้ยังไม่มีtimeline ที่ชัดเจน แต่ถือเป็น upside ส่วนเพิ่มต่อประมาณการและ FV ปัจจุบัน

.

ADVANC (ราคาเป้าหมาย 239 บาท) กำไรไตรมาส 4/65 มีโอกาสโตจากไตรมาสก่อน หลังได้รับอานิสงส์จากกำลังซื้อที่ดีขึ้น ทั้งจากการใช้งานและการเปลี่ยนโทรศัพท์ช่วงปลายปี ต่อเนื่องถึงต้นปีที่ยังได้แรงหนุนเพิ่มหลังภาครัฐฯออกมาตรการ ช้อปดีมีคืน ศักยภาพการทำกำไรยังโดดเด่นกว่าคู่แข่ง คาดหวังปันผลได้สูงถึง 4% ต่อปี ให้ความสำคัญเรื่อง ESG มาต่อเนื่อง สะท้อนจาก การได้เข้าคำนวณในดัชนี DJSI ตั้งแต่ปี 58

.

SCB (ราคาเป้าหมาย 132 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard ธ.พ. ใหญ่อื่น และซื้อขายไม่แพงมี PBV ราว 0.73 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2562 ที่ 1.11 เท่า สวนทางภาวะเศรษฐกิจไทยที่จะกลับสู่ฐานปี 2562 พร้อมประเมิน Div. yield สูงเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ใหญ่ ที่ 4.3% อีกทั้งการปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital ค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งมี ESG Score อยู่ในระดับสูง อีกทั้งยังสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจ-สังคม คาร์บอนต่ำ

.

สรุป กลยุทธ์การลงทุนหุ้นปันผลเด่นในช่วงไตรมาสแรกของปี ถือว่าถูกที่ถูกเวลา นอกจากจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี และรับเงินปันผลแล้ว ยังช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุนในยามที่นักลงทุนอยู่ในช่วงปรับกลยุทธ์รับมือกับค่าคอมมิสชั่นที่สูงขึ้นจากภาษีขายหุ้น

 

 


eighteen nineteen