เทรนธุรกิจหลังวิกฤติโควิด19 นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า ควบรวมกิจการ หรือที่รู้จักคุ้นหูกันว่า M&A (Mergers and Acquisitions) กำลังเป็นกระแสอยู่ทั่วโลก เนื่องจากหลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อมจากวิกฤติเศรษฐกิจ สำหรับในประเทศไทยดีลการควบรวมที่เป็นกระแสพูดถึงในวงกว้างคงหนีไม่พ้นการควบรวมกิจการวงการโทรคมนาคมของ ทรู-ดีแทค
โดยรูปแบบที่ทั้งทรูและดีแทคเลือกใช้นั้น เป็นการควบรวมกิจการแบบแนวนอน (Horizontal Integration) ซึ่งเป็นการควบรวมกิจการที่ทำธุรกิจเหมือนกัน หรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งผลประโยชน์จากการควบรวมแบบนี้คือ เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) จากการที่สามารถเพิ่มกำลังการผลิต เพิ่มส่วนแบ่งตลาด ลดคู่แข่ง รวมไปถึงการเกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจเพิ่มขึ้น และเพื่อให้เกิดจากการแชร์เทคโนโลยี ทรัพยากร และบุคลากรร่วมกันโดยหลังการควบรวมกันแล้วจะเกิดขึ้นเป็นบริษัทใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับที่ทางทรู และดีแทค มองตรงกันว่า การปรับโครงสร้างสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี สอดรับกับยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ที่จะก้าวเป็นฮับของเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค โดยโทรคมนาคม หรือ Telecom จะยังคงเป็นธุรกิจหนึ่งของโครงสร้าง และจะต้องพัฒนาธุรกิจเพิ่มเติมในส่วนที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ ระบบคลาวด์เทคโนโลยี ไอโอที อุปกรณ์อัจฉริยะ เมืองอัจฉริยะ ดิจิทัลมีเดียโซลูชันของไทย
เปิดกระบวนการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) ตามทฤษฏีภาคธุรกิจ
- นิติบุคคลที่ต้องการควบรวมกิจการ ร่วมกันกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจ กำหนดช่วงเวลาการดำเนินการควบรวม รวมถึงการพิจารณาแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ หรือ ที่ปรึกษา (หากจำเป็น)
- การทำข้อตกลงกันในเบื้องต้น (MOU) เช่น การกำหนดรูปแบบการทำ Due Diligence, การจัดทำสัญญารักษาความลับ เป็นต้น
- การทำ Due Diligence ด้วยการตรวจสอบสถานะทางการเงิน บัญชี ภาษี กฎหมาย รวมถึงภาระนอกเหนืองบการเงิน ของนิติบุคคลที่จะมาควบรวมกัน
- ทำรายการตามที่กฎหมายกำหนด เช่น ประชุมคณะกรรมการ ประชุมผู้ถือหุ้น ให้ได้มติตามที่ กฎหมายกำหนด
- การเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น/กิจการ แล้วแต่กรณี
- การดำเนินการตามแผนการเข้าควบรวม
ตัวอย่างกรณีการควบรวมของทรูและดีแทคนั้น ดำเนินการขณะนี้ถึงขั้นตอนที่ 4 คือทำรายการตามที่กฎหมายกำหนด รอการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัท และตามกฎข้อบังคับกิจการโทรคมนาคมตามเงื่อนเวลาดังต่อไปนี้
กระบวนการทำ Due Diligences ขั้นตอนสำคัญในการแลกเปลี่ยนข้อมูลชั้นความลับ
หนึ่งในกระบวนการของ M&A ที่เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการควบรวมกิจการ คือ Due Diligences ตามที่ทราบกันว่าจะต้องมีการตรวจสอบข้อมูลสำคัญของกิจการ ทั้งฐานะทางการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการที่ตรวจสอบ ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ตกลงร่วมกันระหว่างทั้ง 2 กิจการ ซึ่งในขั้นตอนนี้จะต้องมีตัวแทนที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติงาน (บุคคลที่3) มาทำหน้าที่นี้ โดยต้องให้บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินเป็นผู้ดำเนินการร่วมกับสำนักงานบัญชี ซึ่งขอบเขตการให้บริการ Due Diligences แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก่
Financial Due Diligence เป็นการตรวจสอบฐานะทางการเงินของกิจการ เพื่อความถูกต้องและนำไปประเมินผลที่มีต่อทรัพย์สินภายในกิจการ
Legal Due Diligence เป็นการตรวจสอบระเบียบข้อบังคับ สัญญาต่างๆที่มีผลต่อบุคคลภายในและภายนอกกิจการ เพื่อให้ทราบถึงหน้าที่ ภาระผูกผันที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจการ
Operational Due Diligence เป็นการตรวจสอบความเป็นไปได้ของการปฏิบัติงาน เพื่อค้นหาจุดเด่น จุดด้อยของกิจการ และนำมาปรับปรุงแก้ไขต่อไปในอนาคต
กระบวนการทำ Due Diligence (การตรวจสอบข้อมูลภายในของกันและกัน) จะสุ่มเสี่ยงต่อการฮั้วราคาของผู้ประกอบการในอนาคตหรือไม่ หากดีลการควบรวมไม่สำเร็จ ?
ตามปกติแล้วการซื้อขายกิจการเนื่องด้วยเป็น Due ใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย จะต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะทำ Due Diligence อยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีสัญญาที่เป็นเหมือนกับ Pre-Agreement ทำขึ้นมาก่อน เช่น MOU (Memorandum of Understanding) หรือ LOI (Letter of Intent) ซึ่งเป็นข้อสัญญารักษาความลับ (Confidentiality agreement) เพราะไม่มีอะไรที่รับประกันเลยว่า หากกรณีตรวจสอบสถานะทางกฎหมายไปแล้วเกิดไม่ซื้อ Due มัน Break ไป ตัว Target Company ได้เปิดเผยข้อมูลให้กับเราเยอะมากซึ่งปกติจะไม่เปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้กับคนอื่นเป็นคนนอกองค์กรเพราะฉะนั้นจึงต้องมีข้อผูกพันเพื่อทำให้มั่นใจว่าความลับตรงนี้จะต้องได้รับการรักษาไว้และต้องไม่ถูกเปิดเผยออกไป สรุปคือ มีข้อกฏหมายควบคุมอยู่ไม่สามารถทำได้
ทั้งนี้ก็มีข้อควรคำนึงในกระบวนการ ทำ Due Diligence ดังนี้
- ให้ที่ปรึกษาภายนอกเท่านั้น เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ (สอบทานธุรกิจ)
- ทุกอย่างต้องเป็นความลับ /ใช้ข้อตกลงความลับ
- ระวังการทำกิจกรรมร่วมกัน
- ใช้ความระมัดระวังระดับเดียวกัน (สูงสุด) ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ลงนามจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
กลยุทธ์ M&A จึงถือเป็นกลยุทธ์สำคัญทางธุรกิจ ที้จะถูกงัดออกมาใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพ และรักษาศักยภาพของบริษัทให้ยังอยู่รอดต่อไปในสนามธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นการขยายธุรกิจให้ไปสู่ระดับโลกได้อีกด้วย
เพราะการควบรวมกิจการนั้นเป็นช่องทางหนึ่งในการขยายการเติบโตของธุรกิจ ที่เรียกได้ว่า สามารถสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดได้ เพราะธุรกิจไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เข้าไปซื้อกิจการที่ดำเนินการอยู่ มีธุรกิจ มีลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งยังอาจได้ประโยชน์จากมูลค่าเพิ่มหรือ Synergy ในแง่มุมต่างๆ.
ข้อมูลเรียบเรียงจาก:
โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตร TAI Smart Internship 2020
M&A [ห้องเรียนบริษัทจดทะเบียน]
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย