ห้องเม่าปีกเหล็ก

สตาร์ตรถ

โดย STEELBAR
เผยแพร่ :
79 views

สตาร์ตรถ

By พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ

 

 

ย้อนเวลาไปราวสัก ๓๐ ปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่ผมเข้ามาเขียนคอลัมน์ “ออโต้คลินิก” ได้ไม่นาน ผมเพิ่งจะมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหม่ ๆ และด้วยความที่ไม่ค่อยจะมีใครโทรมาหา จะโทรออกก็ต้องเสียเงินค่าบริการเป็นรายนาที รับสายจากต่างผู้ให้บริการหรือแม้กระทั่งสายจากทางบ้าน ก็ต้องเสียค่าบริการเป็นรายนาทีเช่นกัน

 

จึงต้องพกทั้งอุปกรณ์ติดตามตัว ที่เรียกกันว่าเพจเจอร์ให้คนที่ต้องการติดต่อส่งข้อความมา หากเห็นว่าเป็นเรื่องด่วนหรือสมควรติดต่อกลับไป จึงค่อยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โทรกลับไป

ในช่วงเวลานั้นหากผู้อ่านต้องการรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับรถยนต์ ช่องทางการติดต่อสำหรับส่งคำถามเข้ามาได้เร็วที่สุดคือ ส่งแฟกซ์ไปที่โรงพิมพ์ แล้วเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคอลัมน์ก็จะจัดการส่งต่อมาให้ผมอีกทอดหนึ่ง เพราะผมเป็น “นักเขียนนอก” หรือที่เรียกกันว่า “ฟรีแลนซ์” ผมก็จะเลือกว่าคำถามไหนเป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก แล้วเอาคำถามนั้นหรือรวบรวมจากหลาย ๆ ท่านที่ส่งมา แล้วตอบกลับไปในคอลัมน์นี้

เมื่อผมมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งซื้อมาในราคาระดับแสนบาท แล้วเห็นว่ามันควรใช้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุดจึงเอาหมายเลขพิมพ์ลงไปในคอลัมน์ด้วยตั้งแต่นั้นมาผมแทบจะไม่เคยมีเวลาเป็นส่วนตัวเอาเสียเลย 

ครั้งหนึ่งมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งโทรเข้ามาบอกกับผมว่า “อ่านบทความของคุณเป็นประจำ แต่ผู้หญิงอย่างฉันอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ เหมือนอ่านตำราเรียนที่มีไว้สอนเด็กช่างกล ทำไมไม่เขียนเรื่องอะไรง่าย ๆ ให้คนใช้รถที่เป็นมือใหม่ หรือเป็นผู้หญิงอย่างฉันรู้เรื่องบ้าง เช่น ถ้าสตาร์ตรถไม่ติดต้องทำอย่างไร ?”

ผมมาคิดอยู่นาน เพราะสมัยนั้นคนที่เขียนบทความ ล้วนเขียนเรื่องเทคนิคที่สลับซับซ้อน เช่น การตกแต่งโมดิฟาย เพิ่มสมรรถนะ วิธีการปรับตั้งเบรกด้วยตนเอง ครั้นจะให้เขียนอะไรง่าย ๆ คงดูเหมือนคนเขียนหมดภูมิ แล้วเอาเรื่อง “หญ้าปากคอก” มาหากิน แต่ท้ายที่สุดเมื่อผมตัดสินใจได้ จึงหันกลับมาเขียนตามที่ท่านนั้นแนะนำ คือเรื่องพื้นฐานง่ายๆ สลับกับเรื่องเทคนิคแบบดั้งเดิม ทำให้มีผู้อ่านขยายวงออกไป

ปัจจุบันนี้ผู้ใช้รถยนต์จำนวนมาก เหมือนกับย้อนยุคไปสู่สมัยที่สุภาพสตรีท่านนั้นเพราะตามโซเชียลมีเดียจะพบว่ามีคำถาม “พื้นๆ” จำนวนมาก เช่น ไฟหน้าปัดที่ติดขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร, ควรใช้เบรกอย่างไร, ต้องใช้เกียร์อะไร ฯลฯ รวมทั้งคำถามยอดนิยมก็คือ สตาร์ตรถไม่ติดต้องทำอย่างไร ทั้งจากรถยนต์สันดาป และรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ยุคแรก ๆ สตาร์ตด้วยการใช้แรงคนหมุนมอเตอร์สตาร์ต มีเหล็กก้านยาว ๆ รูปร่างคล้ายวรรณยุกต์ไม้โทสอดเข้าไปบริเวณกันชนหน้าใต้หม้อน้ำ แล้วก็หมุนให้ได้รอบสูง ๆ จนเครื่องยนต์ติดขึ้นมา

ส่วนรถยนต์ขนาดเล็ก เช่น รถเก๋งทั่วไป จะใช้กำลังไฟฟ้าจากไดนาโมปั่นมอเตอร์สตาร์ต แต่หากกระแสไฟฟ้าอ่อน รถยนต์สมัยนั้นซึ่งส่วนมากเป็นเกียร์ธรรมดา ก็จะใช้วิธีการ “เข็นสตาร์ต” ให้คนขับเข้าเกียร์เดินหน้าใน ๒ แล้วเหยียบคลัทช์ให้จม จากนั้นให้คนมาช่วยเข็นรถ เมื่อถึงระดับความเร็วที่เหมาะสม จึงปล่อยเท้าจากแป้นคลัทช์ เกียร์ก็จะกระตุกให้มอเตอร์สตาร์ตหมุนกระชากเครื่องยนต์ติดขึ้นมา

มาถึงยุคเกียร์ระบบอัตโนมัติ การจะเข็นกระตุกทำได้ยากมาก อีกทั้งยังอาจจะส่งผลเสียหายหลายอย่าง ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใช้วิธีการ “พ่วงแบต” ทุกวันนี้ก็ยังใช้วิธีนี้กันอยู่ทั้งในรถยนต์เครื่องสันดาปและในรถยนต์ไฮบริด

การที่จะรู้ว่าสาเหตุสตาร์ตไม่ติด ในรถยนต์เครื่องสันดาปและรถไฮบริดเกิดจากกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่อ่อนกำลังหรือไม่ ตรวจสอบเบื้องต้นได้ง่าย ๆ 

ประการแรกเมื่อกดสวิตช์หรือบิดกุญแจสำหรับสตาร์ต แล้วมีเสียงมอเตอร์ขยับตัวดังแชะ ๆ หรืออาจจะมีการหมุนของมอเตอร์สตาร์ตบ้าง แต่หมุนช้าหรือหมุนเอื่อยกว่าปรกติ ให้เปิดไฟหน้าแล้วกดสวิตช์แตร หากเสียงแตรเบาผิดปรกติ หรือเห็นไฟหน้ากระตุกหรี่วูบลงมา ให้เดาไว้ก่อนว่ากระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอ

จากนั้นตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ จับขั้วสายไฟโยกหรือหมุนกระตุกเบาสองสามครั้ง ดูว่าขั้วสายไฟกับตัวขั้วแบตเตอรี่หลวมหรือไม่ หากหลวม ก็จัดการเอาประแจมาขันขั้วให้แน่นเท่านั้นเอง และแม้ว่าจะเป็นแบตเตอรี่ที่เรียกกันว่า “แบตเตอรี่แห้ง” แต่ในความจริงแล้วภายในแบตเตอรี่ยังมีน้ำกรดอยู่ จึงอาจจะมีคราบขี้เกลือเป็นขุยคล้ายเชื้อราบริเวณขั้วแบตเตอรี่ได้ ก็ให้เอาน้ำร้อนมาราดลงไป แล้วตรวจสอบความหลวมของขั้วแบตเตอรี่ จากนั้นให้หาจาระบีมาโปะพอกลงไป เพื่อป้องกันการเกิดขุยดังกล่าวขึ้นมาอีก

รถที่ใช้ระบบ “กดปุ่มสตาร์ต” หากไม่สามารถสตาร์ตได้ ให้เอาตัวกุญแจไปแนบกับบริเวณปุ่มสตาร์ต แล้วกดปุ่มอีกครั้งหนึ่ง เพราะหลายครั้งที่พบว่าตัวรับสัญญาณที่ปุ่มกด อ่านไม่พบสัญญาณที่ส่งมาจากตัวกุญแจ ซึ่งอาจจะเกิดจากแบตเตอรี่ในตัวกุญแจกระแสไฟอ่อนลง วิธีแก้อย่างถาวรก็คือ เปลี่ยนแบตเตอรี่ที่ตัวกุญแจ 

และวิธีการใช้งานที่ถูกต้องสำหรับรถยนต์ยุคนี้ก็คือ ให้สลับการใช้งานกุญแจให้ครบทุกดอก อย่างน้อยทุก ๆ ๖ เดือนง และเมื่อเห็นว่ามีการอ่านหรือรับสัญาณชักจะเริ่มมีปัญหา ก็ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่เอาไว้ได้เลย อย่าลืมว่ากุญแจรถยนต์สมัยนี้ ที่มีระบบส่งและรับสัญญาณระหว่างกัน ต้องเก็บให้ห่างจากน้ำและความชื้น อีกทั้งไม่ควรวางไว้ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก

ในรถยนต์เครื่องสันดาป เกียร์อัตโนมัติ หากพบว่าบิดสวิตช์กุญแจหรือกดสวิตช์แล้วไม่มีเสียงอะไรแม้แต่น้อย ให้ตรวจสอบคันเกียร์ ว่าอยู่ในตำแหน่ง P หรือไม่ หรือจะลองโยกผลักคันเกียร์ไปมา แล้วไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่ง P ก่อนลองสตาร์ตอีกครั้ง อีกทั้งรถยนต์บางรุ่น นอกจากเกียร์ต้องอยู่ตำแหน่ง P แล้ว เมื่อจะสตาร์ตยังต้องเหยียบเบรกด้วย เพราะผู้ผลิตเจตนาออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยนั่นเอง

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าหากเปิดสวิตช์เพื่อทำงานแล้วพบว่า ไฟที่หน้าปัดไม่ติดขึ้นมาแม้แต่ดวงเดียว หรือไม่มีสัญญาณจากมาตรวัดว่าระบบพร้อมที่จะทำงาน ให้ลองทำการย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ เริ่มจากการแตะสวิตช์ที่ประตูเพื่อเข้ารถ หากทุกอย่างยังคงเงียบเหมือนเดิม แนะนำว่าให้เปิดสมุดคู่มือ หรือติดต่อหน่วยงานผู้ผลิตและจำหน่ายขอคำแนะนำโดยตรง ไม่แนะนำให้ใช้วิธีการพ่วงแบตเตอรี่ หรือวิธีอื่นใด โดยเฉพาะในกรณีที่เจ้าของรถไม่มีความรู้ในระบบของรถอย่างจริงจัง เพราะความเสียหายอาจลุกลามได้

สุดท้ายมีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียว่า หากรถยนต์ไฟฟ้ามีกระแสไฟฟ้าไม่พอเดินทางถึงจุดหมาย สามารถให้รถยนต์คันอื่นลาก เพื่อให้ผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนกลับเข้าแบตเตอรี่ ผมอยากแนะนำว่าอย่าได้ใช้วิธีการดังกล่าวเป็นอันขาด เพราะมีโอกาสเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ 

และไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แบบใดก็ตาม หากเครื่องยนต์หรือระบบการทำงานดับในขณะขับรถลุยน้ำ จงอย่าพยายามสตาร์ตรถอีกเป็นอันขาดครับ

 

 

ที่มา..  https://www.bangkokbiznews.com/blogs/auto/1181814

 


STEELBAR