บาทแข็งค่า ความสามารถในการแข่งขันของประเทศล่ะ
ขณะที่เงินบาทของไทย แข็งค่าสูงสุดในรอบ 6 ปี ที่ระดับ 30.52 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลายคนถามว่า แล้วกระทบกับประเทศอย่างไร เพราะไม่ว่าค่าเงินจะแข็งค่าขึ้นหรืออ่อนค่าลง ย่อมมีทั้งคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เช่นกัน
เวลาที่พูดถึงค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อน เราเทียบกับเพียง 2 สกุล อาจจะเป็นบาทต่อยูโร บาทต่อเยน บาทต่อหยวน หรือ บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นบาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากเป็นสกุลเงินที่คนทั่วโลกใช้ค้าขายกัน แล้วถ้าเราเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้าคู่แข่งล่ะ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศอยู่ตรงไหน
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้รายงานดัชนีค่าเงินบาท(NEER)เดือนมิถุนายน 2562 พบว่า ดัชนี NEER อยู่ที่ระดับ 122.61 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 120.52 สะท้อนว่า ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าและตู่แข่งของไทยโดยรวม หรืออีกนัยหนึ่งคือ ประเทศไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ดัชนี NEER เพิ่มขึ้น 2.94% จากต้นปี สอดคล้องกับเงินบาทของไทยเดือนที่แล้วแข็งค่าสุด 2.80%
เพราะดัชนี NEER เป็นดัชนีชี้วัดค่าเงินที่สร้างขึ้นจากการคำนวณหาค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทกับค่าเงินอื่นที่สำคัญอีก 21 สกุล โดยจะถ่วงน้ำหนักตามความสำคัญทางการค้ากับประเทศเหล่านั้น ทั้งในฐานะประเทศคู่ค้าและคู่แข่งของไทย
แม้ NEER จะเป็นเครื่องชี้สำคัญตัวหนึ่งที่ช่วยบ่งบอกความได้เปรียบหรือเสียเปรียบของประเทศได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไม่ได้ขึ้นกับความได้เปรียบหรือเสียเปรียบในเรื่องค่าเงินหรือ อัตราแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นกับระดับราคาสินค้าของเราเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ด้วย ดังนั้น ดัชนีอีกตัวหนึ่งที่มักใช้ควบคู่ไปกับ NEER คือ ดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง ( REER) ซึ่งจะรวมเอาปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน และปัจจัยด้านระดับราคาหรืออัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อช่วยให้การประเมินความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกของประเทศมีความครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก