ห้องเม่าปีกเหล็ก

พิษ 'COVID-19' หุ้นวูบ 2 ล้านล้าน

โดย dave
เผยแพร่ :
61 views

พิษ 'COVID-19' หุ้นวูบ 2 ล้านล้าน

นักลงทุนเทกระจาดหุ้นไทย กดดัชนีร่วงกว่า 72 จุด เหตุวิตก "โควิด-19" ลามในประเทศ เผยตั้งแต่ต้นปี หุ้นไทยร่วงแล้ว 13.5% ทำมูลค่าตลาดหาย "2 ล้านล้านบาท"

ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ก.พ.) ดัชนียังปรับลดลงรุนแรง โดยปิดการซื้อขายที่ 1,366.41 ลดลง 72.69 หรือ 5.05% เป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี 10 เดือน ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 9.31 หมื่นล้านบาท ซึ่งการลดลงของดัชนีหุ้นไทยถือว่ามากสุดในภูมิภาค เทียบกับตลาดหุ้นอื่นที่ลดลงเฉลี่ยราว 1% เท่านั้น ขณะที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 4,494 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 833 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 507 ล้านบาท และ นักลงทุนในประเทศ ซื้อสุทธิ 4,821 ล้านบาท

โดยตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงมาแล้วราว 213.43 คิดเป็นการลดลง 13.5% และคิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ที่หายไปประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือลดลงจากระดับ 16.75 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ระดับ 14.70 ล้านล้านบาทในวานนี้

สำหรับหุ้น มาร์เก็ตแคป ลดลงมากที่สุด จากการเก็บข้อมูล ณ วันที่ 25 ก.พ. 2563 คือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT มูลค่าลดลงไป 1.35 แสนล้านบาท เหลือมูลค่า 9.24 แสนล้านบาท รองลงมาคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB มูลค่าลดลงไป 9.59 หมื่นล้านบาท เหลือมูลค่า 3.61 แสนล้านบาท และ อันดับสาม คือ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย หรือ SCC มูลค่าลดลงไป 6.84 หมื่นล้านบาท เหลือมูลค่า 4.02 แสนล้านบาท

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยราว 70 จุด ในช่วงระหว่างการซื้อขายวานนี้ ยังคงเป็นแรงกดดันจากปัจจัยในระดับโลก คือ ความกังวลในเรื่องของโควิด-19 ที่แพร่ระบาดมากขึ้นในหลายๆ ประเทศ นอกประเทศจีน ซึ่งประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

  • ตลท.มั่นใจหุ้นไทยฟื้นกลับเร็ว

โดยภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 9% แต่จะเห็นว่าในบางกลุ่มอุตสาหกรรมก็ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ อาทิ กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ กลุ่มของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน และบางกลุ่มก็ปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตร

“จุดแข็งของตลาดหุ้นในปัจจุบันคือเรื่องของความหลากหลายในแต่ละอุตสาหกรรม ทำให้หุ้นบางกลุ่มก็ได้รับผลกระทบน้อยกว่า ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยยังมีสภาพคล่องสูง หากความไม่แน่นอนหายไป เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็ว โดยเฉพาะถ้าปัจจัยที่กดดันให้ปรับตัวลงไม่ได้กระทบต่อภาคการผลิต ตลาดมักจะฟื้นตัวกลับมาได้ภายในเวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยการฟื้นตัวจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อการเพิ่มขึ้นของตัวเลขของผู้ติดเชื้อภายนอกประเทศจีนเริ่มทรงตัว”

  • ทุนนอกไหลออกหุ้นไทยเล็กน้อย

สำหรับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มอ่อนแอลง อาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยทั้งหมด 100% เพราะปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยหลายแห่งต่างขยายธุรกิจออกไปต่างประเทศ

“ต้องยอมรับว่าเงินลงทุนต่างชาติปัจจุบันไหลออกจากตลาดหุ้น แต่โดยรวมยังไม่ได้ไหลออกจากประเทศไทยมากนัก แต่เป็นการไหลเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลแทน เพื่อจำกัดความเสี่ยงในสถานการณ์เช่นนี้ โดยจะเป็นเห็นว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี ในปัจจุบันลดลงไปต่ำเพียง 1.1% เท่านั้น”

ด้านนายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งประกาศออกมาแล้วในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ 40% หรือราว 330 บริษัท โดยรวมผลประกอบการลดลงคล้ายกับช่วง 3 ไตรมาส ที่ผ่านมา ของปี 2562 อย่างไรก็ตามคงต้องติดตามส่วนที่เหลือว่าจะมีผลประกอบการอย่างไร

  • หุ้นไทยวันนี้แนวโน้มยังผันผวนสูง

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน-กลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า หุ้นไทยที่ปรับลงแรงในวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกข่าวการพบผู้ป่วยติดเชื้อ โควิด-19 ซึ่งได้ปกปิดข้อมูล ทำให้ดัชนีหุ้นร่วงแรง โดยหุ้นไทยถือว่าลดลงมากกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(27ก.พ.) เชื่อว่า ดัชนียังคงมีความผันผวนสูง ประเมินแนวรับที่ 1,350-1,330 จุด แนวต้านที่ 1,440จุด

  • "ก้องเกียรติ" ชี้หุ้นไทย ไร้เสน่ห์

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า เชื่อว่าตอนนี้คงยังไม่มีใครตอบได้ว่าตลาดหุ้นไทยจะร่วงไปถึงจุดไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวิกฤตในครั้งนี้ว่าจะลากยาวไปถึงตอนไหน เพราะหากปัญหาดังกล่าวยิ่งยาวนานก็จะกระทบต่อห่วงโซ่ของระบบเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ขณะที่ปัจจุบันหลายคนมองว่าปัญหาน่าจะจบภายในช่วงครึ่งหลังปีนี้ หากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าการกลับมาของภาวะเศรษฐกิจอาจต้องใช้เวลา แต่ในส่วนของตลาดหุ้นอาจเด้งเร็วกว่าหากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

ทั้งนี้คาดว่าภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังไม่สดใส หลังมีปัจจัยกดดันหลายด้านทั้งภาพรวมเศรษฐกิจไทยชะลอตัว ประกอบกับการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิออกมาต่ำกว่าปี 2561 และโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังพึ่งพาภาคบริการ,ส่งออก และท่องเที่ยวเป็นหลัก รวมถึงเรื่องการเมืองไทยและค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากเกินไป หลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าไป ซึ่งส่งผลให้เงินไหลเข้าลงทุนในตราสารหนี้มากเกินความต้องการ และทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศมากเกินไป

ขณะที่คาดว่าปีนี้การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) จะติดลบเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยฝ่ายวิจัยจะปรับประมาณการณ์ผลประกอบการปีนี้ลงอีก แต่ยังไม่สามารถประเมินตัวเลขได้ต้องรอดูผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 อีกครั้ง ทั้งนี้กำไรต่อหุ้น (EPS) เดิมคาดอยู่ที่ 95.6 บาท ซึ่งในปีนี้มองกรอบที่ 85-87 บาท

“มองว่าดัชนีฯจะปรับตัวลดลงอีกคงพูดยาก เพราะทุกวันนี้นักลงทุนหวาดระแวงก็ฉุดให้ดัชนีฯลงได้อีก ขณะที่คนที่มีสภาพคล่องมากก็ถือเป็นโอกาส ซึ่งมองว่ายังมีหุ้นที่ถูกๆราคาต่ำกว่ามูลค่าบัญชี ปันผลดีแต่คนไม่สนใจอยู่จำนวนมาก”

  • บอนด์ยิลด์10ปีรูดแตะ1.03%

ส่วนการเคลื่อนไหวของเงินบาทวานนี้ ยังคงอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดย ปิดตลาดที่ระดับ 31.83-31.85 บาทต่อดอลลาร์ ระหว่างวันลงไปทำจุดอ่อนสุดที่ระดับ 31.92 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ ผลตอบแทนพันธบัตร(บอนด์ยิลด์)รัฐบาลไทยรุ่นอายุ 10 ปี ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ที่ 1.03%  

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า บอนด์ยิลด์รุ่นอายุ 10 ปี ที่ลดลงมาอยู่ระดับ 1.03% ถือเป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์และยังต่ำจนใกล้เคียงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% สะท้อนว่า นักลงทุนมองความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือถึงขั้นเกิดวิกฤต โดยสถานการณ์ที่ บอนด์ยิลด์ รุ่นอายุ 10 ปี ลงมาเท่ากับหรือต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายในอดีตเคยเกิดขึ้นเพียง 3 ครั้ง คือ ช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2551  ช่วงมหาอุทกภัย ปี 2554 และ ช่วงวิกฤติการเมือง ปี 2559

ด้าน นายพิพัฒน์ เหลือนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ภัทร กล่าวว่า บอนด์ยิลด์ที่ลดลงต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่มีต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายว่า ในระยะข้างหน้ามีโอกาสปรับลดลงอีกและอาจจะอยู่ระดับต่ำไปอีกนาน โดยต้องยอมรับว่า การระบาดของ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่รุนแรง ซึ่งทาง บล.ภัทร ประเมินว่า ไตรมาสแรกปีนี้เศรษฐกิจไทยอาจหดตัวราว 0.7-0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก

 


dave