“ดร.นิเวศน์” เมินหุ้นไทยไร้เสน่ห์เป็น “ทศวรรษที่สูญหาย”-หนีซบหุ้นเวียดนาม...
ด้าน “บลจ.กสิกรไทย” แนะจับตา ‘6 ปัจจัยเสี่ยง’ ก่อนลุย “หุ้นเวียดนาม” !!!

.
Fun of Funds: ช่วงหลังมานี้ “หุ้นไทย” ดูจะถูกด้อยค่าลงด้วยการเทียบกับ “หุ้นเวียดนาม” ที่ดูเซ็กซี่และมีสีสันมากกว่า จนนักลงทุนหลายคนก็มองว่าดูจะเป็นการ “บูลลี่” (Bully) หุ้นไทยมากเกินไปหรือเปล่า
.
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักลงทุนหลายคนจะคิดเช่นนั้น...ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ “ตลาดหุ้นไทย” เองก็ไม่ได้ไปไหนไกลยังคงผันผวนขึ้นลงอยู่ในกรอบแคบๆ ล่าสุด (ณ วันที่ 1 ก.ย. 22) อยู่ระดับประมาณ 1,620 จุด ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี -2.15% ย้อนหลัง 1 ปี -0.77%
.
ในขณะที่ “หุ้นเวียดนาม” ดัชนี VN30 (ณ วันที่ 31 ส.ค. 22) อยู่ประมาณ 1,300 จุด ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน -16.51% ย้อนหลัง 1 ปี ยังติดลบอยู่ -8.8%
.
การดิ่งของ “หุ้นเวียดนาม” ทำให้มูลค่า Forward P/E 12เดือนข้างหน้าลงมาอยู่ประมาณ 11-12 เท่า ในขณะที่กำไรบจ.ยังโตระดับ 20% ในขณะที่ “หุ้นไทย” Forward P/E 12 เดือนข้างหน้าอยู่ประมาณ 15 เท่า กำไรโตเพียง 10% เท่านั้น ...เทียบกันเชิงมูลค่า ก็ถึง “บางอ้อ” ทันที !!!
.
ทำให้นักลงทุนตั้งข้อสงสัยหรือเกิดเป็นคำถามขึ้นว่า “ตลาดหุ้นไทย” ยังคงมีความน่าสนใจและคุ้มค่ากับการเสี่ยงที่จะเข้าลงทุนอยู่หรือไม่?
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงได้มีความคิดเห็นและมุมมองการลงทุนจากกูรูด้านการลงทุนมาแบ่งปันให้แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจกันในครั้งนี้
.
“หุ้นไทย” ผลตอบแทนต่ำเป็น “Lost Decade”…เตรียมลดน้ำหนักลงทุนลง-หนีซบ “หุ้นเวียดนาม” แทน
.
หนึ่งในนักลงทุนที่ชื่นชอบ “หุ้นเวียดนาม” มากกว่า “หุ้นไทย” และเป็นนักลงทุนที่ขยับเข้าไปลงทุนในช่วงแรกๆ จนเคยบาดเจ็บจากตลาดแห่งนี้มาแล้วก็คือ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นเวียดนาม
.
ได้ให้มุมมองไว้ว่า “ตลาดหุ้นไทย” น่าจะเริ่มใกล้จบลงแล้วด้วยความน่าสนใจที่จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากตลาดหุ้นขาดปัจจัยที่จะมาทำให้ตลาดคึกคักและสามารถปรับตัวขึ้นได้แรง ซึ่งก็ยังเป็นตลาดที่สามารถลงทุนได้ แต่โอกาสที่จะคาดหวังผลตอบแทนสูงเหมือนในอดีต หรือโอกาสที่บริษัทจะสามารถทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างหวือหวาจนสร้างกำไรได้สูงและถือได้ในระยะยาว เป็นไปได้ยาก
.
ถ้าสังเกต “ตลาดหุ้นไทย” ในปัจจุบันส่วนใหญ่บริษัทที่มีรายได้มหาศาลจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ยิ่งบริษัทรายใหม่ๆ ที่มีการเติบโตได้เร็วและมาแซงผู้เล่นรายเก่ายิ่งไม่มีเลย จึงเป็นเหมือนสังคมคนแก่ ที่ลงทุนหวังผลตอบแทนได้ราว 5-6% ต่อปี
.
“ตลาดหุ้นไทยอาจจะเทิร์นอะราวมาจากสถานการณ์ COVID-19 ได้ แต่ต่อจากนี้ยังมองไม่ออกว่าจะไปต่อได้อย่างไร ด้วยบริษัทเก่าเริ่มอิ่มตัว การคาดหวังกับบริษัทใหม่หรือสตาร์ทอัพก็ค่อนข้างยากถึงแม้จะสามารถเกิดขึ้นมาได้แต่ก็มีระยะเวลาไม่นานก็ดับลงไป” ดร.นิเวศน์ กล่าวเพิ่มเติม
.
ซึ่งพอร์ตลงของตนในปัจจุบันมี “หุ้นไทย” อยู่ที่ 60% “หุ้นเวียดนาม” อยู่ที่ 30% และในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าก็อาจจะปรับลดสัดส่วนหุ้นไทยลง ด้วยความน่าสนใจและความเคลื่อนไหวของตลาดที่ค่อนข้างนิ่งซึ่งหากย้อนหลัง 9 ปีดัชนีตลาดก็ไม่ได้ไปไหนเลยหรืออยู่ที่ 1,600 จุด หากครบ 10 ปีก็จะกลายเป็น “ทศวรรษที่สูญหาย” (Lost Decade) ไป
.
เปิด 6 “ปัจจัยเสี่ยง” ที่นักลงทุนต้องจับตาใกล้ชิด...หากคิดจะลุย “หุ้นเวียดนาม”
.
แม้โอกาสการลงทุนใน “หุ้นเวียดนาม” ดูจะเปิดอัพไซด์ในระยะยาวไว้ได้มากกว่า น่าสนใจกว่า “หุ้นไทย” ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ในทำเลทอง, มีประชากรวันแรงงานจำนวนมากช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, บริษัทระดับโลกแห่ย้ายฐานการผลิตมาเวียดนาม, ตลาดกำลังจะก้าวเป็น Emerging Market เป็นต้น
.
โดย “ธิดาศิริ ศรีสมิต” Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย มองว่า “หุ้นเวียดนาม” เป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ช่วงตลาดย่อตัวก็เป็นจังหวะทยอยเข้าลงทุนเพื่อเป้าหมายในระยะยาว อย่างไรก็ตามก็มี “6 ปัจจัยเสี่ยง” ที่นักลงทุนควรจับตาและพึงระวังเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น 1) เศรษฐกิจโลกอาจอยู่ในภาวะถดถอยหากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นเร็วจนเกินไปเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ 2) สถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนมีความยืดเยื้อ และส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลง ของห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain) ของโลกในยุโรปตะวันออก ตลอดจนมีผลกระทบในเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเวียดนามเพราะมีการพึ่งพาภาคส่งออกสูง อย่างไรก็ตาม การที่ “เวียดนาม” มีข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับหลายประเทศทั่วโลกทำให้การส่งออกของเวียดนามยังน่าจะเติบโตได้
.
“3) การแพร่ระบาด COVID-19 ถ้ากลับมาอีกอาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเวียดนามหยุดชะงักลงได้ 4) เวียดนามพึ่งพาเม็ดเงินลงทนุโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) สูง จึงมีความเสี่ยงที่ต่างชาติจะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นและส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการย้ายฐานการผลิตของต่างชาติยังคงอยู่ในระดับต่ำจากค่าแรงที่อยู่ในระดับต่ำและแรงงานจำนวนมากอยู่ในวัยทำงาน”
.
5) ความผันผวนของค่าเงิน ‘เวียดนามด่อง’ อาจมีแนวโน้มสูงขึ้นในระยะสั้นจากปัจจัยความไม่แน่นอนจากภายนอก (External Uncertainties) อย่างไรก็ตาม เงินทุนสำรองที่สูงเป็นประวัติการณ์และภาคส่งออกที่แข็งแกร่งจะช่วยลดความผันผวนของค่าเงินเวียดนามด่องได้ และสุดท้าย 6) “Margin Lending” ของนักลงทนุรายย่อยยังอยู่ในระดับสูง เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างมีนัยยะทำให้หุ้นบางส่วนถูกบังคับขายเพิ่มแรงกดดันในตลาดขาลงได้”
.
แล้วคุณล่ะ...มองยังไงกันบ้าง “หุ้นไทย” ไร้เสน่ห์จริงหรือไม่? หรือมอง “หุ้นเวียดนาม” น่าสนใจกว่าจริงมั้ย? ซึ่งโดยเนื้อแท้ของหุ้นทั้ง 2 ตลาดก็คง “ดี-ด้อย” แตกต่างกันออกไป เลือกลงทุนในตลาดที่ใช่และเหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเองสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าลงทุนเองไม่ถนัดและสนใจก็ยังมี “กองทุนรวม” ให้เลือกลงทุนกันได้