ห้องเม่าปีกเหล็ก

สามปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยต้องไม่ประมาท

โดย ฒ ผู้เฒ่า
เผยแพร่ :
45 views

สามปัญหาสำคัญที่ประเทศไทยต้องไม่ประมาท | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

By ดร.บัณฑิต นิจถาวร | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

 

เดือนที่แล้ว มีการประท้วงของประชาชนเกิดขึ้นพร้อมกันหลายประเทศทั้งในยุโรปและเอเชีย เช่น อังกฤษ ออสเตรเลียและอินโดนีเซีย สาเหตุการประท้วงดูผิวเผินอาจแตกต่าง

 

เช่น ต่อต้านการนำเข้าแรงงานต่างชาติ ต่อต้านผู้อพยพ ค่าครองชีพที่สูง และการละเมิดอำนาจของนักการเมือง แต่ลึกๆ ทั้งหมดเป็นพลวัตของเรื่องเดียวกัน คือ นโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมที่ให้ประโยชน์ระยะสั้นต่อเศรษฐกิจ แต่สร้างปัญหาระยะยาวให้กับสังคม 

การประท้วงจึงสะท้อนชัดเจนถึงผลกระทบระยะยาวของการทำนโยบายที่มุ่งผลระยะสั้น วันนี้จะเขียนเรื่องนี้เพราะประเทศเราเองก็คงหนีไม่พ้นพลวัตในลักษณะเดียวกัน เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นและต้องไม่ประมาท นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

ปัญหาแรกคือ สังคมสูงวัย ที่กำลังกระทบประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศอุตสาหกรรม เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี เยอรมนี ฝรั่งเศส กรีซ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ที่อัตราส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมีมากกว่าร้อยละ 17 ของประชากรทั้งหมด ตัวเลขของไทยขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 14.5

สังคมสูงวัยทำให้ประชากรในวัยทำงานของประเทศลดลง กระทบการขยายตัวของเศรษฐกิจ ที่สำคัญ อุปทานแรงงานที่ลดลงทำให้อัตราค่าจ้างแรงงานเพิ่มสูงขึ้น กดดันให้อัตราเงินเฟ้อในประเทศสูงขึ้น เป็นปัญหาคล้าย Stagflation คือเศรษฐกิจชะลอพร้อมอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ซึ่งแก้ไขยาก

ความสำคัญของเรื่องนี้ในแง่นโยบายเศรษฐกิจ ทำให้การประชุมประจำปีของผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกเดือนที่แล้วที่เมือง แจ็คสัน โฮล สหรัฐอเมริกา ได้ถกเรื่องนี้เป็นหัวข้อพิเศษ

ซึ่งวิธีแก้ปัญหาปกติคือ นำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ หรือใช้หุ่นยนต์มากขึ้นแทนกำลังแรงงานที่ลดลง หรือให้แรงงานทำงานนานขึ้นคือเกษียณอายุช้าลง 

ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศหัวแถวเรื่องสังคมสูงวัย เคยสอบถามความเห็นคนสูงวัยญี่ปุ่นประเด็นนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อนเพื่อเป็นข้อมูลทำนโยบาย

ผลคือ คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่อยากให้ใช้หุ่นยนต์เป็นทางเลือกมากสุด ขณะที่การนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศเป็นทางเลือกน้อยสุด ส่วนหนึ่งเพราะห่วงผลจะมีต่อสังคมญี่ปุ่นในระยะยาว

รัฐบาลญี่ปุ่นก็รับฟังและให้น้ำหนักการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศน้อยสุดเทียบกับอีกสองทางเลือกในการทำนโยบาย

ข้อสรุปจากการประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางที่แจ็คสัน โฮล ชัดเจนว่าไปในทางเสรีนิยมที่สนับสนุนกลไกตลาดและการนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาโดยเน้นผลระยะสั้น คือการขยายตัวของเศรษฐกิจและลดเงินเฟ้อ

เพราะแรงงานต่างประเทศจะรักษาอัตราค่าจ้างให้อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำต่อไป ซึ่งดีต่อกำไรแม้จะกระทบกำลังแรงงานของประเทศเช่นกัน ไม่ได้มองไปถึงผลระยะยาวที่จะมีต่อเศรษฐกิจและสังคม 

ที่ผ่านมา มีหลายประเทศ เช่น อังกฤษ ออสเตรเลีย ให้ความสำคัญการนำเข้าผู้อพยพและแรงงานจากต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานและการขยายตัวของเศรษฐกิจ แม้ชัดเจนว่าจะมีผลกระทบระยะยาวตามมา

เช่น ผลต่อฐานะการคลังของประเทศ แรงกดดันต่อโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการของภาครัฐ เช่น สาธารณสุข การศึกษา รวมถึงแรงเสียดทานหรือ tensions ในสังคมระหว่างผู้อพยพ แรงงานนำเข้า และประชาชนท้องถิ่น

รื่องนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศคือ ผู้อพยพและแรงงานนำเข้าพร้อมทำงานแข่งกับคนท้องถิ่นในทุกตำแหน่งงานและในอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่า คนท้องถิ่นจึงต้องปรับตัวเพื่อให้มีงานทำหรือปรับทักษะเพื่อทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น

ประเด็นนี้จะเป็นปัญหามากถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากภาครัฐในการปรับตัว หรือรัฐไม่ปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสร้างโอกาสให้คนในประเทศสามารถยกระดับความสามารถของตนในการหารายได้ 

และยิ่งถ้าไม่ทำอะไร เศรษฐกิจก็จะเจอปัญหาว่างงานเรื้อรัง เพราะคนหางานทำไม่ได้ ผู้จบการศึกษาใหม่ไม่มีงานทำ นำไปสู่การหดตัวของคนชั้นกลางในที่สุด พร้อมกับความเหลื่อมล้ำและความยากจนในประเทศที่จะรุนแรงขึ้น

นี่คือปัญหาใหญ่ปัญหาที่สองที่หลายประเทศจะประสบมากขึ้นๆ คือผลกระทบของการนำเข้าแรงงานต่างประเทศและผู้อพยพต่อการมีงานทำ ความเป็นอยู่ และความสงบในสังคม 

การเดินขบวนต่อต้านนโยบายนำเข้าผู้อพยพในหลายเมืองใหญ่ที่ออสเตรเลียสัปดาห์ที่แล้วก็สะท้อนประเด็นนี้ คือ ประชาชนไม่ยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้นและต้องการให้มีการเปลี่ยนนโยบาย

กรณีสหรัฐอย่างที่ทราบมีการส่งกลับผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย และที่ต้องจับตามากคือ อังกฤษ ที่จะมีการเดินขบวนใหญ่สัปดาห์นี้ที่กรุงลอนดอนต่อต้านนโยบายรัฐบาลเรื่องผู้อพยพเช่นกัน

ปัญหาใหญ่ที่สามคือ ความเหลื่อมล้ำ ที่เป็นสาเหตุของการประท้วงใหญ่ทั่วอินโดนีเซียปลายเดือนที่แล้ว ที่ประชาชนรู้สึกว่าไม่มีโอกาสทางเศรษฐกิจแม้เศรษฐกิจจะขยายตัวในอัตราที่ดี

ซํ้าเติมด้วยการคอร์รัปชันและการหาประโยชน์เพื่อตนเองของนักการเมือง โดยไม่สนใจความยากลําบากที่ประชาชนประสพ เช่น ไม่มีงานทำ และค่าครองชีพสูง เป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองและต่อนโยบายของรัฐบาล

ที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจเสรีนิยมที่ขับเคลื่อนการไหลเข้าของเงินลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้เศรษฐกิจอินโดนีเซียเติบโต แต่ประโยชน์จากการเติบโตไม่ได้กระจายอย่างทั่วถึง ประโยชน์ตกกับผู้เป็นเจ้าของกิจการและแรงงานที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่

เช่นเดียวกับการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศเรา ที่ประโยชน์ทางเศรษฐกิจตกอยู่กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและแรงงานในเมืองท่องเที่ยวเป็นหลัก ไม่กระจายไปสู่ส่วนอื่นๆ ของเศรษฐกิจอย่างที่ควร

ผลคือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น และในกรณีอินโดนีเซีย นำไปสู่ความไม่พอใจของประชาชนและการประท้วงที่รุนแรงอย่างที่เกิดขึ้น

เหล่านี้คือ อุทาหรณ์ของการทำนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นผลระยะสั้น ที่พลวัตของการแก้ปัญหา เช่น สังคมสูงวัย นำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่และเป็นจุดเสี่ยงของประเทศในระยะยาว คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่สมานฉันท์ของผู้คนในสังคม เป็นสามปัญหาที่ประเทศไทยต้องระวังเช่นกัน

เพราะประเทศเราเป็นสังคมสูงวัย แรงงานนำเข้าและผู้อพยพเข้าประเทศก็มากทั้งที่ถูกกฎหมายและที่ไม่ทราบ เศรษฐกิจและการว่างงานเป็นปัญหาสำคัญ ขณะที่ความเหลื่อมล้ำประเทศเราก็อยู่อันดับต้นๆ ของโลก เหล่านี้เหมือนระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ เป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักและต้องไม่ประมาท

ดร. บัณฑิต นิจถาวร

ประธานมูลนิธินโยบายสาธารณะเพื่อสังคมและธรรมาภิบาล

 

 

ที่มา.  https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1197712

 


ฒ ผู้เฒ่า