ห้องเม่าปีกเหล็ก

ส่งออกไทยโตจริงหรือเป็นแค่ภาพลวงตา

โดย Durant
เผยแพร่ :
62 views

ส่งออกไทยโตจริงหรือเป็นแค่ภาพลวงตา

ถือเป็นข่าวน่ายินดี สำหรับตัวการส่งออกของไทยในเดือน มี.ค. 2564 ที่มีมูลค่าสูงถึง 24,222.45 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 750,000 ล้านบาท ขยายตัวสูงถึง 8.47% เป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 28 เดือนนับจากเดือน พ.ย. 2561 และเป็นตัวเลขสูงสุดแห่งประวัติการณ์


แถมเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกเดือน มี.ค. 2564 ขยายตัวถึง 11.97% สะท้อนการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector)
ขณะที่ภาพรวมการส่งออกไตรมาสแรกของปี 2564 (ม.ค.-มี.ค.) มีมูลค่า 64,148.03 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.27 เกินดุลการค้า 515.66 ล้านเหรียญสหรัฐ
ทำให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ส่งออกไทยพ้นจุดต่ำสุดแล้ว”
โดยช่วงต่ำสุดของการส่งออกอยู่ในเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2563 ที่ติดลบถึงร้อยละ 21 และร้อยละ 23 ซึ่งขณะนั้นเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก หลายประเทศกำลังประสบปัญหา ส่งผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แต่หลังจากนั้น ตัวเลขติดลบเริ่มน้อยลง จนกระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 2563 ตัวเลขการส่งออกเริ่มเป็นบวกต่อเนื่องมาถึงเดือนมกราคม ปี 2564
“สัญญาณดังกล่าวว่าแสดงให้เห็นถึงการกระเตื้องและทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องของการส่งออกไทย” นายจุรินทร์ กล่าว
เช่นเดียวกับ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ที่วิเคราะห์ทิศทางการส่งออกว่ามาจากปัจจัยบวก 4 ประการคือ
  • (1) การฟื้นตัวภาคการผลิตของโลก ส่งผลให้การส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
  • (2) ประสิทธิภาพของการกระจายวัคซีน ทำให้ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น
  • (3) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศเริ่มส่งผลในทางบวกต่อความเชื่อมั่นด้านการบริโภคของประชาชน
  • (4) ราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว คาดว่าจะเป็นแรงหนุนให้การส่งออกกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิรไทย วิเคราะห์ว่าการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนในบางประเทศที่มีความคืบหน้ามาก ส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจบางประเทศมีแนวโน้มดีกว่าคาด ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่อตัวเลขส่งออกของไทย เห็นได้จากการส่งออกไปสหภาพยุโรป (15) ในเดือน มี.ค. ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ที่ร้อยละ 32 จากที่ขยายตัวร้อยละ 0.2 ในเดือน ก.พ. ซึ่งสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ สินค้าประเภทคอมพิวเตอร์ฯ รถยนต์และส่วนประกอบ รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ด้านตลาดสหรัฐฯ ขยายตัวได้ต่อเนื่อง 10 เดือนติดต่อกัน สินค้าสำคัญที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น
ส่วนญี่ปุ่นยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากสินค้าประเภทรถยนต์ส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ยาง
ขณะที่การส่งออกไปในตลาดโซนเอเชียฟื้นตัวได้ดี นำโดยการส่งออกไปมาเลเซียที่ขยายตัวได้ถึงร้อยละ 70.6 และจีนที่ขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ร้อยละ 35.4 รวมถึงการส่งออกไปประเทศใน CLMV สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ร้อยละ 2.0
นั่นทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อการส่งออกในปี 2564 โดยปรับประมาณการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 7.0 จากร้อยละ 4.5 ด้วยปัจจัยหนุนหลักคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าสำคัญที่เร็วกว่าคาดการณ์ ประกอบกับมีการชดเชยอุปสงค์ที่ค้างจากช่วงก่อนหน้า (pent-up demand)
ทั้งนี้ เมื่อมองไปในระยะข้างหน้าอัตราการฉีดวัคซีนที่เร็วกว่าคาดในประเทศพัฒนาแล้ว นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีออกมาต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการเงินยังมีแนวโน้มผ่อนคลายจะยังคงส่งผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้การส่งออกไทยจะยังมีทิศทางเติบโตได้ดีต่อเนื่อง

จากสถานการณ์ของไตรมาสแรกปี 2564 ที่เห็นตัวเลขกราฟทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราเริ่มมีความหวังถึงการกลับมาเติบโตของเครื่องจักรที่ถือว่าสำคัญที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากต้องการเห็นตัวเลขการส่งออกไทยทั้งปีโต 4% การส่งออกเฉลี่ยต่อเดือนจะต้องอยู่ที่ 19,620 ล้านเหรียญสหรัฐ หากส่งออกโต 6% เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,134 ล้านเหรียญสหรัฐ และโต 7% เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 20,391 ล้านเหรียญสหรัฐ 

แต่ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมาเราทำได้สถิติได้สูงถึง 24,222.45 ล้านเหรียญสหรัฐ
ดังนั้น ในยามที่ไทยยังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การส่งออกจึงเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แม้การนำนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยจะต้องหยุดชะงัก แต่ถ้าเรามีรายได้จากการส่งออกมาชดเชย ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้
กระนั้นก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ อุปสรรคการค้าชายแดนในเมียนมา โดยเฉพาะการประท้วงที่เกิดขึ้นยาวนานอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของเมียนมาในภาพรวม ต้นทุนค่าระวางขนส่งทางเรือของผู้ประกอบการอาจสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในบางประเทศที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังเพิ่มขึ้น ประสิทธิผลและความเชื่อมั่นของวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงในเรื่องของการขาดแคลนตู้สินค้า และค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้นยังคงมีอยู่ ผู้ส่งออกจึงต้องวางแผนป้องกันความเสี่ยงไว้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่หากประเมินจากตัวเลขที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากเดือน ก.ค. 2563 จึงถึง มี.ค. 2564 ก็พอจะบอกได้ว่าการเติบโตของการส่งออกคงไม่ใช่แค่ภาพลวงตา

 

ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก


Durant