ห้องเม่าปีกเหล็ก

“เศรษฐกิจจีน” ตัวแปร “เศรษฐกิจโลก”

โดย ใจอยู่ที่กระบี่
เผยแพร่ :
165 views

“เศรษฐกิจจีน” ตัวแปร “เศรษฐกิจโลก”

 

 

แรงกระตุ้นจากการที่จีนเปิดประเทศได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับ “เงินเฟ้อ” มากขึ้น โดยจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นราว 10% นับตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม อยู่ที่ราคาเกือบ 84 ดอลลาร์สหรัฐ

คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน รายงานว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” จนนำไปสู่การเปิดประเทศเร็วกว่าที่ทั่วโลกคาดการณ์ไว้ พบมีผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 เกือบ 60,000 คน ในระหว่างวันที่ 8 ธ.ค. 2565 – 12 ม.ค. 2566 ขณะที่ การคาดการณ์อย่างไม่เป็นทางการระบุว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากการเปิดประเทศของจีนอาจมีมากถึง 1 ล้านคน

แต่เบื้องหลังความยุ่งเหยิงของการเปิดประเทศ จีนกำลังดำเนินนโยบายที่มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก และกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในแง่การพัฒนาความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก จีนดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าเป็นปรปักษ์กับหลายประเทศมากเกินไปโดยเฉพาะกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งยังคงเป็นพันธมิตรด้านการค้าและเศรษฐกิจหลัก ดังนั้น จีนจึงพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าถึงเหล่าชาติยุโรป เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน รวมถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความพยายามของจีนนั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะมีสัญญาณแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของจีน-ยุโรปนั้นเริ่มดีขึ้นอย่างมาก เพราะยุโรปไม่สนับสนุนการแยกเศรษฐกิจออกจากจีน และต้องการ “ความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์” ซึ่งสามารถตัดสินใจทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ขณะเดียวกัน ยุโรปเองก็เผชิญกับปัญหาต่างๆ เช่น วิกฤติพลังงานและความกดดันด้านการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงมีแนวโน้มว่าความสัมพันธ์ของจีน-ยุโรป จะฟื้นตัวเป็นปกติได้

ในแง่เศรษฐกิจ นาย Chen Zhiwu นักเศรษฐศาสตร์ชั้นแนวหน้าคาดว่า จีนจะผลักดันการใช้นโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมการเติบโตและคาดว่าเป้าหมายการเติบโตของปี 2566 จะอยู่ที่ราว 6% หรือสูงกว่านี้ ซึ่งสูงกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ไว้ที่ 4.4% ขณะที่ นักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ คาดการณ์ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนจะสูงกว่า 5% ในปี 2566

นาย Han Wenxiu ผู้บริหารระดับสูงในคณะกรรมการด้านการคลังและเศรษฐกิจของจีน เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่นักวิเคราะห์ให้ความเชื่อมั่น โดยนาย Han ระบุว่า ในไตรมาสแรกของปี 2566 จีนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายต่างๆ แต่ในไตรมาสที่ 2 คาดว่าจะเริ่มเห็นการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอัตราที่เร็วขึ้น อีกทั้ง นาย Han ยังเลือกให้ความสนใจใน 2 กลุ่มคือ อสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งในกรณีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นตัวผลักดันที่สำคัญของการเติบโตของ GDP ของจีนตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา “การป้องกันและแก้ไขปัญหาความเสี่ยงต่างๆ” เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

การกระตุ้นการใช้จ่ายผู้บริโภคก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องโฟกัส โดยในระยะยาว จีนต้องการบรรลุเป้าหมายนโยบาย “Common Prosperity” หรือที่เรียกว่า “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” โดยการเพิ่มจำนวนกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง แต่ในระยะสั้น บรรดานักวิเคราะห์คาดหวังว่าจะเห็นการผ่อนคลายในด้านการใช้จ่ายหลังจากการหยุดชะงักต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากโรคโควิด-19 ที่สิ้นสุดลง

สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์จาก Capital Economics ที่คาดว่าหนทางของการออกจากนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” นั้น จะไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยทั้งอุปทานและอุปสงค์จะได้รับผลกระทบอย่างหนักในไตรมาสแรกของปีนี้ก่อนที่จะฟื้นตัวในไตรมาสที่ 2

ขณะที่ นักวิเคราะห์ด้านอัตราดอกเบี้ยและสกุลเงินมองว่าการเปิดประเทศของจีนมีแนวโน้มไปได้ดี เพราะจีนได้นำมาตรการกระตุ้นการเงินและการคลังจำนวนมากเข้าสู่ระบบ อีกทั้งการเปิดประเทศของจีนยังช่วยบรรเทาความเสี่ยงต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย Goldman Sachs คาดว่าเศรษฐกิจของยูโรโซนจะโตราว 0.6% ในปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าเศรษฐกิจจะหดตัว

นอกจาก “ยุโรป” จะเติบโตแล้ว ยังมีกลุ่มประเทศที่เป็น “ผู้ชนะ” ด้วย นั่นคือ “กลุ่มตลาดเกิดใหม่” ที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวและการค้าที่เชื่อมโยงกับจีน และสกุลเงินที่นักลงทุนโปรดปราน คือ สกุลเงิน “บาท” ของไทยซึ่งฟื้นตัวกลับสู่จุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคมและเพิ่มขึ้นราว 5% นับตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม

ในช่วงเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม ปี 2566 คาดว่า จีนจะมีความมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการเปิดประเทศซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสต่างๆ ให้แก่การส่งออกและการท่องเที่ยวของเวียดนาม ขณะที่ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารพัฒนาเอเชียมองว่า ในไตรมาสที่ 2 การเปิดประเทศของจีนจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงอุตสาหกรรมต่างๆ ของเวียดนาม เช่น เกษตรกรรม, บริการและการค้า

เบื้องต้น รัฐบาลเวียดนามได้ร้องขอให้เหล่าผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าทางการเกษตรร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในจังหวัดชายแดนทางภาคเหนือเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการส่งออกสินค้าไปยังจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรแบบสดและแช่แข็ง โดยเวียดนามนับเป็นพันธมิตรทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับที่ 6 ในระดับโลก ส่วนจีนก็เป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม โดยมูลค่าทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศแตะระดับ 165,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2564

ขณะเดียวกัน หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการพักผ่อนหย่อนใจต่างๆ ก็คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนเช่นกัน เนื่องจากจีนเป็นตลาดการท่องเที่ยว “ขาออก” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการเดินทางท่องเที่ยวอาจจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นธุรกิจแบรนด์หรูของยุโรปด้วย ขณะที่ การกระตุ้นการเติบโตของโลกจากจีนคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่จะส่งผลดีต่อสกุลเงินยูโร ซึ่งจีนเป็นคู่ค้าที่สำคัญของสหภาพยุโรปโดยมีการค้าขายสินค้าทั้งหมดราว 16%

ทั้งนี้ แรงกระตุ้นจากการที่จีนเปิดประเทศได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับ “เงินเฟ้อ” มากขึ้น โดยจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันเป็นอันดับที่ 1 ของโลก และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นราว 10% นับตั้งแต่กลางเดือนธันวาคม อยู่ที่ราคาเกือบ 84 ดอลลาร์สหรัฐ

การฟื้นตัวในจีนถูกมองว่าอาจจะเข้ามาเสริมความกดดันต่างๆ ของเงินเฟ้อโลก ซึ่งการเปิดประเทศของจีนอาจทำให้ธนาคารกลางยุโรปขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อในแถบยุโรปถูกผลักดันด้วย “พลังงาน”

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดหวังว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวนอกประเทศจีนจะชดเชยในเรื่องอุปสงค์ของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น 

 

 


ใจอยู่ที่กระบี่