3 หุ้นใหญ่ กลุ่มไฟแนนซ์ผวาเฟด!
ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง
พบบิ๊กล็อต TIDLOR ราคาต่ำกระดาน

.
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น 3 บริษัทไฟแนนซ์ ทั้ง SAWAD, MTC, TIDLOR ปรับตัวลดลงอย่างร้อนแรง หลังได้รับแรงกดดันจากเฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกถึง 2 ครั้ง โดย Dot Plot (คาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย) ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.6% ในปีนี้ (เดิม 5.1%) และ 4.6% ในปีหน้า (เดิม 4.3%) บ่งชี้ว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ก่อนที่จะปรับลดดอกเบี้ยในปีหน้า 1%
.
จากประเด็นที่เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ได้รับผลกระทบเชิงลบ สะท้อนจาก นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด มีความเห็นว่า การที่เฟดมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกถึง 2 ครั้ง ดีต่อหลักทรัพย์กลุ่มธนาคารและประกัน หุ้นกลุ่มแบงก์ที่แนะนำ คือ BBL, KBANK, KTB, SCB, TTB แต่กลุ่มหลักทรัพย์ที่จะเป็นลบคือ ไฟแนนซ์ เช่น SAWAD, MTC, TIDLOR รวมทั้งหุ้นกลุ่มเช่าซื้อ
.
ส่วนนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่า กลุ่มไฟแนนซ์ (NEUTRAL) ราคาหุ้น ปรับลงทั้งกลุ่ม คาดมาจาก 1. การประชุมของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เมื่อวาน ส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ยที่ 2% อาจมีการปรับขึ้นต่อได้
.
2. ผลประกอบการไตรมาส 2/66 ไม่ดี แรงกดดันหลักมาจากค่าใช้จ่ายสำรองที่ยังอยู่ระดับสูง และ NPL Ratio ปรับขึ้นต่อ (คาดว่าอาจเป็นจุด peak ของปี 66) 3. ความกังวลเรื่องการเข้ามาควบคุมของทาง BOT ทั้งเรื่องการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน และการคุมในกลุ่มเช่าซื้อ
.
4. ประเด็นข่าวหนี้เสียรถยนต์ และ 5. ประเด็นเฉพาะตัวของ TIDLOR ที่วันนี้มี Big lot จำนวน 103 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 25.13 บาท ต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวาน 27 บาท(ยังไม่ทราบใครทำรายการ)
.
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) สรุปงาน BoT Monetary Policy Forum ซึ่งธปท. ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการบริโภคที่คาด เพิ่มขึ้น 4.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และอาจมี Upside ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนจะเร่งขึ้นในครึ่งหลังปี 66 โดยเฉพาะไตรมาส 4/66 ด้านเงินเฟ้อมองว่ายังมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
.
อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังกังวลความเสี่ยงด้านสูงจากการส่งผ่านต้นทุนที่อาจสูงขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐในระยะถัดไป ราคาอาหารสดที่อาจเพิ่มขึ่นจากเอลนีโญ รวมถึงผลของอุปสงค์ที่เร่งตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังคงมองว่าระดับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังค่อนข้างผ่อนคลายกว่าระดับ “Neutral” อยู่เล็กน้อย
.
ทั้งนี้สะท้อนว่าอาจยังคงเห็นการขยับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อสร้างเสถียรภาพของเศรษฐกิจระยะยาวจากระดับปัจจุบันที่ 2% ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดโดยรวมประเมินว่ามีโอกาสเห็น Terminal Rate ที่ 2% แล้ว จึงยังคงมองบวกต่อกลุ่มธนาคารที่ยังคงได้อานิสงส์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์อาจเห็นแรงกดดันเล็กน้อย แต่ภาพระยะกลาง-ยาวยังมองบวก