ฟิทช์ เรทติ้ง หั่นแนวโน้มความน่าเชื่อถือรัฐบาลอังกฤษสู่ระดับ “ลบ”

ฟิทช์ เรทติ้ง หั่นแนวโน้มความน่าเชื่อถือรัฐบาลอังกฤษสู่ระดับ “ลบ”

สำนักข่าว Investing รายงานว่า : หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ฟิทช์ เรทติ้ง ปรับลดแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือหนี้รัฐบาลอังกฤษลงสู่ระดับ “ลบ” (Negative) จากเดิมที่ระดับ “คงที่” (Stable) เมือวันพุธที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ S&P ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือหนี้รัฐบาลอังกฤษลงในสัปดาห์ที่แล้ว

.

ฟิทช์ กล่าวว่า แพ็คเกจทางการคลังขนาดใหญ่ที่ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระตุ้นการเติบโตฉบับใหม่ของรัฐบาลอังกฤษ อาจนำมาสู่การขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นในระยะกลาง

.

Fitch ยังคงอันดับเครดิตของอังกฤษไว้ที่ระดับ AA- ซึ่งต่ำกว่าของ S&P ที่ให้ไว้ที่ระดับ AA

.

นายควาซี กวาร์เต็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอังกฤษ ได้ประกาศลดหย่อนภาษีวงเงิน 4.5 หมื่นล้านปอนด์ (5.1 หมื่นล้านดอลลาร์) ในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ควบคู่ไปกับการมอบเงินอุดหนุนด้านพลังงานและมาตรการอื่นๆที่มุ่งเป้าไปที่การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดการเงินไปสะดุดกับประเด็นการกู้ยืมเงินพิเศษเพิ่มเติม

.

ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ และราคาพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษบางส่วนได้ลดลงมากที่สุดในรอบหลายสิบปี ส่งผลให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ต้องเข้ามาช่วยเหลือเพื่อรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ

.

Fitch กล่าวว่าการขาดการคาดการณ์งบประมาณที่เป็นอิสระ และความขัดแย้งต่อกลยุทธ์เพื่อสะกัดเงินเฟ้อของ BoE ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของตลาดการเงินและความน่าเชื่อถือต่อกรอบนโยบาย ซึ่งเป็นจุดแข็งของอันดับความน่าเชื่อถือของอังกฤษที่มีมาอย่างยาวนาน

.

เมื่อวันจันทร์ (3 ต.ค.) ที่ผ่านมา นายกวาร์เต็ง กล่าวว่าจะไม่ดำเนินการลดหย่อนภาษีส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นการลดภาษีเงินได้สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงสุด คิดเป็น 1% ของผู้มีรายได้ทั้งหมด หลังกระทรวงการคลังประเมินว่าจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2 พันล้านปอนด์ต่อปี

.

แม้ว่ารัฐบาลจะยกเลิกการลดหย่อนภาษีวงเงินสูงสุด 4.5 หมื่นล้านปอนด์ ฟิทช์ ระบุว่า คะแนนนิยมของรัฐบาลที่อ่อนเเอลง อาจบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและการสนับสนุนกลยุทธทางการคลังของรัฐบาล

.

หน่วยงานจัดอันดับความน่าเช่อถือได้คาดการณ์ว่า การขาดดุลของรัฐบาลอังกฤษ (General Government Deficit) จะสูงถึง 7.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปีนี้ และเพิ่มขึ้นเป็น 8.8% ในปี 2566 ขณะที่หนี้สาธารณะของรัฐบาล (General Government Debt) จะเพิ่มขึ้น 109% ของ GDP ภายในปี 2567

.

=========================