ผู้จัดการกองทุนมองผลเลือกตั้งสหรัฐฯ "ลดพอร์ต" หรือ "ถือต่อ"
ผู้ลงทุนบางท่านอาจมองว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่ค่อนข้างไกลตัว แม้ในความเป็นจริง การเชื่อมโยงของตลาดทุนทั่วโลก จึงหนีไม่พ้นที่อาจจะเห็นแรงสะเทือนมาถึงพอร์ตการลงทุนของเราได้บ้าง ลองมาฟังการประเมินสถานการณ์ พร้อมทั้งคำแนะนำจากผู้จัดการกองทุน ว่าจะต้องเตรียมตัวรับมือเรื่องนี้อย่างไร?
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ย. นี้ เป็นเป้าจับตาระยะสั้นของนักลงทุนทั่วโลก ที่ล่าสุดยิ่งมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงมากขึ้น ว่าผลที่สุดแล้วผู้นำสหรัฐฯ จะเป็นใคร? ระหว่าง “ฮิลลารี คลินตัน” และ “โดนัลด์ ทรัมป์”
เพื่อรับมือกับความเสี่ยงนี้ มีสองผู้เชี่ยวชาญการลงทุนของไทยได้ประเมินสถานการณ์ พร้อมคำแนะนำต่อผู้ลงทุนจากเหตุการณ์นี้
เริ่มที่ความเห็นของ “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บอกว่า ตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ คงจะอยู่ในโหมด Sideway ไปอีกสักระยะ และแน่นอนว่าในระยะสั้น การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อการลงทุนเช่นกัน โดยความเห็นส่วนตัวในตอนนี้ เขายังคงเชื่อว่า “คลินตัน” จะเป็นผู้กำชัยชนะเหนือ “ทรัมป์” ไปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ผลจะออกมาตามนี้ แต่ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะผันผวนจากการ “sell on fact” หรือในกรณีที่ผลิกโผ โดย “ทรัมป์” เป็นฝ่ายกำชัยชนะ คุณวินเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับตัวลงแรง เพราะนโยบายของ “ทรัมป์” ถูกมองว่าไม่เอื้อต่อการค้าของโลก
ในขั้นนี้จึงประเมินได้ว่า ความผันผวนมีโอกาสเกิดขึ้นได้ทั้งสองกรณี เขาจึงแนะนำผู้ลงทุนว่าควรจะมีเงินสดติดตัวไว้บ้าง ประมาณ 15% สำหรับพอร์ตหุ้น ซึ่งสัดส่วนนี้ เป็นการเตรียมไว้เผื่อตลาด “ตกใจ” และผู้ลงทุนจะได้มีเงินสดสำหรับซื้อ “ของถูก” บ้าง
อีกหนึ่งความเห็นมาจาก “ต่อ อินทวิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) เขามองว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย ได้ตอบรับปัจจัยเสี่ยงทั้งเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น พอร์ตการลงทุนที่มีอยู่ในตลาดหุ้น จึงยังไม่มีความเป็นต้องลดพอร์ตแต่อย่างใด
หรือแม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับฐานลงจริง แต่ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนท่านนี้ประเมินว่า การปรับฐานคงจะอยู่ในระดับ 3-4% เท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ได้เลวร้าย ดังนั้น หากจะลดพอร์ตด้วยการไปถือเงินสด แล้วรอซื้อใหม่ อาจจะไม่คุ้มกับค่าฟี (Fee) ที่ต้องจ่ายกันหลายๆ รอบ ซึ่งไม่แนะนำสำหรับผู้ลงทุนระยะยาว แต่สำหรับผู้ลงทุนที่ค่อนข้าง Active ก็อาจลองพิจารณาหลีกเลี่ยงไปบ้าง
**********************************
ทีม Business & Finance , Money Channel
