ถึงเวลาลงทุนหุ้น 'กลาง-เล็ก'
โบรกเกอร์ระบุถึงเวลาลงทุน "หุ้นกลาง-เล็ก" ดักอานิสงส์ประกาศงบไตรมาส 3 ปีนี้ แนะดู "สภาพคล่อง" ก่อนลงทุน
ตลาดหุ้นไทยในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีความผันผวนสูงจากปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะในหุ้นขนาดใหญ่ แต่เมื่อหันไปมองหุ้นขนาดกลางหรือขนาดเล็กกับพบว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเอ็ม เอ ไอ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น ดัชนีตลาดหุ้นเอ็ม เอ ไอ จากวันที่ 14 ต.ค. ถึงวันที่ 10 พ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 581.51 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 17.94 % สูงกว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ดัชนีมาอยู่ที่ 1,493.08 จุด หรือเพิ่มขึ้น 5.68 %
โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น คือ กลุ่มเทคโนโลยี ที่ดัชนีกลุ่มอยู่ที่ 33.98 จุด เพิ่มขึ้น 28.42 % อันดับที่ 2 กลุ่ม ทรัพยากร อยู่ที่ 92.34 จุด หรือเพิ่มขึ้น 20.47 % อันดับที่ 3 กลุ่ม เกษตรและอาหารอยู่ที่ 113.49 จุด เพิ่มขึ้น 19.98 % และอันดับที่ 4 กลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภค อยู่ที่ 55.93 จุด เพิ่มขึ้น 18.70 % และ อันดับที่ 5 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง ดัชนีอยู่ที่ 62.58 จุด เพิ่มขึ้น 17.94 %
เมื่อหุ้นขนาดใหญ่ไม่ไปไหนและแกว่างตัวผันผวนรุนแรง แต่หุ้นขนาดเล็กยังเคลื่อนไหวได้ดีทำให้เกิดคำถามว่าถึงเวลาลงทุนหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กแล้วหรือไม่
มงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดีในช่วงที่ผ่านมา โดยการปรับตัวขึ้นในรอบนี้นั้นถือว่าเป็นรอบที่มีคุณภาพและเป็นการเติบโตจากผลการดำเนินงาน
“การปรับตัวขึ้นของหุ้นในตลาดเอ็ม เอ ไอรอบนี้ ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดี ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆ โดยหุ้นในหลายหลักทรัพย์มีผลประกอบการครึ่งปีแรกที่ดีและแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็ยังมีทิศทางที่ดีต่อไปด้วย”
ทั้งนี้ทิศทางการเติบโตของหุ้นในตลาดเอ็ม เอ ไอ เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นตั้งแต่การประกาศผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก ที่ออกมาค่อนข้างดี ทั้งในกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ผลการดำเนินงานออกมาดีมากหลังธนาคารขนาดใหญ่ชะลอการปล่อยกู้ทำให้กลุ่มสถาบันการเงินขนาดเล็กหรือนอนแบงก์ ได้โอกาสในการปล่อยกู้ รองลงมาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ได้รับผลกระทบกับความผันผวนของเศรษฐกิจในภาพรวม รวมถึงกลุ่มพลังงานทดแทนที่ผลการดำเนินงานยังออกมาดีอย่างต่อเนื่อง
ทิศทางในไตรมาสที่ 3 แม้ผลการดำเนินงานของบรัทจดทะเบียนในตลาดเอ็ม เอ ไอ จะยังไม่ประกาศออกมา แต่เชื่อว่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง โดยจะเป็นกลุ่มสถาบันการเงินจะยังสามารถฟื้นตัวได้ซึ่งจะมีผลการดำเนินงานที่ดีไปจนถึงช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งถือว่าตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเป็นเวลาของหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นเอ็ม เอ ไอ นั้น แม้ภาพรวมจะมีการฟื้นตัวขึ้น แต่ในด้านการลงทุนยอมรับว่าต้องใช้ความระมัดระวังเพราะหุ้นในตลาดเอ็ม เอ ไอ มีความผันผวนที่สูง และมีสภาพคล่องที่ต่ำ ดังนั้นนักลงทุนก่อนที่จะเข้าลงทุน ควรจะต้องพิจารณาในแง่ปัจจัยพื้นฐานว่า บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจอะไร มีการเติบโตจริงหรือไม่ โดยดูจากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก รวมถึงพิจารณาถึงสภาพคล่องการวื้อขายว่ามีเพียงพอที่จะเข้าลงทุนหรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนพ.ย. มองว่าจะมีความผันผวนที่สูง จากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งการเลือกตั้งของสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในคืนวันที่ 8 พ.ย. นี้ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในเรื่องการปรับดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการประชุมของกลุ่มโอเปคที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นเด่น ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดกลาง-เล็ก เช่น กลุ่มการเงิน ประกัน และ หุ้นในตลาดเอ็ม เอ ไอ ซึ่งเป็นผลจากภาพรวมของตลาดหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายหุ้นขนาดใหญ่ ส่งผลให้ นักลงทุนหันไปลงทุนในหุ้นขนาดกลาง- เล็กแทน
นอกจากนี้ เรายังสังเกตเห็นหุ้นที่ยังคงปรับตัวขึ้นช้าในปีนี้ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มการแพทย์ เริ่มปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะ กลุ่มก่อสร้าง คาดว่าจะเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลเดินหน้าโครงการประมูลรถไฟฟ้า ซึ่งถือว่าเป็นการเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะ นักลงทุนต่างประเทศ ที่อาจเข้าใจผิดว่าโครงการต่างๆ จะมีล่าช้า
สำหรับกลุ่มที่ปรับตัวแย่กว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยประเมินว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะแย่กว่าคาด เนื่องจากความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซิเมนต์ กระเบื้องที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว กลุ่มยานยนต์เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ยังคงไม่เด่น กลุ่มธนาคาร ถือว่าน่าผิดหวังที่สุด บางธนาคารส่งสัญญาณว่าจะดำเนินนโยบายการตั้งสำรองในระดับสูงต่อไปถึงปี 2560 ถึงแม้ ธนาคารขนาดใหญ่จะประกาศกำไรสุทธิงวดไตรมาสที่ 3ดีกว่าที่คาดการณ์ก็ตาม สำหรับ ธนาคารที่มีกำไรสุทธิเติบโตเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนกลุ่มบันเทิง ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจาก การงดรายการและกิจกรรมบันเทิงในช่วง 30 วัน หลังจากวันที่ 13 ต.ค.แต่เราเชื่อว่า สถานการณ์น่าจะกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากวันที่13 พ.ย. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบรองมา คือ ท่องเที่ยว ขนส่ง ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มไม่น่าสนใจในช่วงที่เหลือของปี เนื่องจากอุปส่งค์จะยังคงชะลอตัว Presales มีโอกาสพลาดเป้าสูงและ กิจกรรมทางการตลาดอาจเลื่อนไปเปิดต้นปี 2560 แทน
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก