เมื่อไม่นานมานี้เป็นช่วงการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566
คำหนึ่งที่เรามักจะได้ยิน คือ คำว่า #EBITDA
ถ้าเราค้นหาความหมายของคำว่า EBITDA จะเจอกับความหมายและสูตรเต็มไปหมด ชวนให้ปวดหัว
และการจำไปใช้ แทบจะไม่ให้ผลดีเลยในทางปฏิบัติ เพราะนักลงทุนไม่ได้อยากรู้สูตรหรือความหมายที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์
.
เราควรเข้าใจง่ายๆ ว่า EBITDA คือ กำไรประเภทหนึ่งที่ไม่รวมดอกเบี้ยต้นทุนทางการเงิน ไม่รวมภาษีและไม่รวมค่าเสื่อมราคา
ถ้ามีการหักภาษี หักต้นทุนการกู้ยืม และค่าเสื่อมราคาไปแล้ว จะกลายมาเป็น "กำไรสุทธิ" ของบริษัท
ซึ่งนักลงทุนมักจะชอบดูตรง "สรุปผลการดำเนินงาน" ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์นั่้นเอง
.
นักลงทุนหลายๆ คน ชอบที่จะดูตรง EBITDA มากกว่า กำไรสุทธิ
สาเหตุเป็นเพราะว่าเราแทบจะรู้เลยว่าความสามารถของบริษัทมีมากแค่ไหนในการดำเนินธุรกิจ
เพราะภาษีและค่าเสื่อมราคาเป็นเรื่องของการ "บังคับจ่าย" อยู่แล้วในทางบัญชี
ถ้าบริษัทมีกำไร EBITDA เยอะๆ แต่โดยค่าเสื่อมราคาและภาษีที่ต้องจ่ายจำนวนมาก ทำให้กำไรสุทธิดูน้อยไปเลยในไตรมาสนั้นๆ
ทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้ดูผลประกอบการฉบับเต็ม หรือดูแค่ส่วนสรุป อาจจะด่วนตัดสินไปเลยว่าไม่ดีเพราะบริษัทแย่กว่าที่คิดเอาไว้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย
.
EBITDA จึงเป็นตัวเลขที่วัดความสามารถในการดำเนินงานของบริษัทจริงๆ นักบัญชีก็ชอบแสดงตัวเลขนี้
หรือแม้แต่คำอธิบายผลประกอบการ ก็มักจะกล่าวอ้าง EBITDA กันตลอดเวลา เพราะไม่โดนภาษีและค่าเสื่อมราคากดดันอีกที
ทำให้ผลประกอบการของบริษัทดูดี นักลงทุนเห็นแล้วก็ชอบใจเพราะมองว่าบริษัทมีการเติบโต
.
อ่านต่อ : https://bit.ly/3ErqeVM
