
#infigraphic ค่าน้ำมันในตลาดโลกขยับราคาขึ้นลงไม่เท่าไร แต่ทำไมค่าน้ำมันในเมืองไทยถึงยังแพงแบบสวนกระแส แม้ว่ารัฐบาลจะลดเก็บภาษีน้ำมันดีเซลทุกรายการลง 3 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้วก็ตาม แต่ราคาน้ำมันก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลงอย่างที่ผู้บริโภคอยากให้เป็น
.
สงครามรัสเซีย-ยูเครนจะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นปัจจัยหลักก็ไม่แปลก แต่กลับพบว่า “ค่าการกลั่นน้ำมัน" กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ให้ "น้ำมันแพง" โดย TNN Wealth ได้รวบรวมค่าการกลั่นตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤษภาคม 2565 ก็พบว่าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ราคาค่าการกลั่นขยับขึ้นเรื่อย ๆ จนล่าสุดเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
.
โดยค่าการกลั่นในเดือน มกราคมอยู่ที่ 1.35 บาทต่อลิตร กุมภาพันธ์ 1.58 บาทต่อลิตร มีนาคม 2.80 บาทต่อลิตร
เมษายน 5.15 บาทต่อลิตร พฤษภาคม 5.82 บาทต่อลิตร สวนทางกับภาษีสรรพสามิตที่ลดลง โดยในเดือน มกราคม อัตราภาษีอยู่ที่ 5.99 บาทต่อลิตร กุมภาพันธ์ 2.80 บาทต่อลิตร มีนาคม 2.80 บาทต่อลิตร เมษายน 3.20 บาทต่อลิตร และพฤษภาคม 3.20 บาทต่อลิตร
.
ล่าสุด สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ประกาศอัตราค่าการกลั่นเฉลี่ยล่าสุด วันที่ 2 มิ.ย. 2565 อยู่ที่ 5.72 บาท/ลิตร จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 105-110 เหรียญ/บาร์เรล และในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดเฉลี่ยอยู่ที่ 110 เหรียญ/บาร์เรล บนสมมติฐานค่าเงินบาทอยู่ในกรอบ 33.3-34.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
.
ถ้าจะอ้างว่าเป็นสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ต้นทุนในการกลั่นน้ำมันสูงขึ้นก็น่าจะเป็นไปได้แค่ส่วนนึง เพราะในเรื่องต้นทุนในการกลั่นอย่าง ค่าแรง ค่าพลังงานไฟฟ้า ค่าสึกหรอของเครื่องจักร ก็ยังคงเท่าเดิม และเมื่อมองย้อนไปนับตั้งแต่ปี 2559 จนถึงเดือนมกราคมปี 2565 ค่าการกลั่นตลอดทั้ง 6 ปี มีราคาไม่ถึง 2 บาทต่อลิตร (ยกเว้นปี 2560 และ 2561 ที่เกินมาเล็กน้อย)
.
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ ผลประกอบการของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศจำนวน 6 แห่งนั้น ในไตรมาส 1/2565 ทุกโรงมีกำไรสุทธิอยู่ในระดับ 1,000-7,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ากำไรจาก “ค่าการกลั่นน้ำมัน (GRM-gross refining margin)” ซึ่งเป็นอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงกลั่น “ยิ่งค่าการกลั่นสูงขึ้นเท่าใดก็หมายความว่า โรงกลั่นน้ำมันแห่งนั้นสามารถทำกำไรได้ดีขึ้นเท่านั้น”
.
เมื่อพิจารณาจากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจการกลั่น หรือค่าการกลั่น (GRM) จะพบว่า โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่มีค่าการกลั่นที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็น โรงกลั่น ESSO-SPRC ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันขนาดกลางและขนาดเล็กจะมีค่าการกลั่นอยู่ระหว่าง 4-8 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ก็แจ้งอัตราค่าการกลั่นในกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและการกลั่นไว้ที่ระดับ 8.8 เหรียญ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/2564 ที่ 6.9 เหรียญ/บาร์เรล
.
สำหรับเหตุผลที่แจ้งในผลประกอบการถึงค่าการกลั่นที่สูงขึ้น ของแต่ละโรงกลั่นส่วนใหญ่ก็คือ ส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกับราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น แต่ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันที่กลั่นได้ก็เพิ่มขึ้นในระดับสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ผู้ประกอบการโรงกลั่นยังแจ้งว่าต้องมี “ค่าพรีเมี่ยม” ช่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ซัพพลายลดลง หายาก ค่าขนส่งปรับสูง ซึ่งก็กลับกลายเป็นว่าต้นทุนโรงกลั่นสูงขึ้น แต่กำไรยังเท่าเดิม
.
"นอกจากนี้ ค่าการกลั่นก็ไม่ได้สะท้อนกำไรที่แท้จริงของโรงกลั่น เนื่องจากยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคาและภาษี เป็นต้น เมื่อนำค่าการกลั่นมาหักลบกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น รวมถึงกำไร ขาดทุน จากการบริหารความเสี่ยงด้านราคา และสต๊อกน้ำมัน จึงจะสะท้อนกำไรสุทธิที่โรงกลั่นน้ำมันได้รับจริง"
.
ล่าสุดนายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการบริหารจัดการราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงวิกฤต” ขึ้นมา
.
โดยมี นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน พร้อมด้วยกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาประเด็นเรื่อง “ค่าการกลั่นน้ำมัน” ที่กำลังเป็นข้อกังขาในสังคมว่า โรงกลั่นฉวยโอกาสขึ้นค่าการกลั่นแพงเกินไปหรือไม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนมิถุนายนนี้
.
ก็ได้แต่หวังว่าคนไทยจะได้ใช้น้ำมันในราคาที่ยุติธรรมกันสักที เพราะน้ำมันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องใช้งานการเดินทางและการขนส่ง ซึ่งรัฐบาลก็น่าจะใช้ช่วงเวลานี้ เร่งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการใช้งานรถพลังงานไฟฟ้าให้เร็วขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนได้มากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ลดอัตราภาษี แต่หมายถึงการเอื้อให้เกิดอีโคซิสเต็มการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างแท้จริง เมื่อคนมีทางเลือก ผู้ประกอบการก็จะไม่สามารถใช้ความได้เปรียบมาเอาเปรียบได้อีกต่อไป
