ปี พ.ศ 2560 นับเป็นปีทองของ บมจ. อิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ พี่ใหญ่วงการรับเหมาก่อสร้างเพราะเป็นปีที่ตุนงานท่วมท้น 1.3 แสนล้าน บาท มากที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 60 ปี
" เปรมชัย กรรณสูต " บอสใหญ่ บมจ.อิตาเลี่ยนไทยฯ กล่าวว่า ปี พ.ศ 2560 ได้งานใหม่ในมือประมาณ 1.3 แสนล้าน บาท ( รวมทั้งงานแม่เมาะเฟส 9 ทีมีมูลค่างาน 35,000 ล้าน บาท ) มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 8 หมื่นล้าน บาท นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทําให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้าน บาท แบ่งเป็นงานในประเทศและต่างประเทศสัดส่วน 50:50 จะสามารถรับรู้รายได้ 4 ปี เฉลี่ยปีละ 125,000 ล้านบาท โดยปี พ.ศ 2560 ที่ผ่านมารับรู้รายได้ 6 หมื่นล้าน บาท คาดว่าปี พ.ศ 2561จะถึง 1 แสนล้าน บาท เนื่องจากรัฐบาลมีการผลักดันโครงการขนาดใหญ่เปิดประมูลออกมามากกว่าปี พ.ศ 2560 ถึงเท่าตัวกว่า 1 ล้านล้าน บาท ( จากปี พ.ศ 2560 ที่มีโครงการประมูลภาครัฐ 500,000 ล้าน บาท ) ที่บริษัทประเมินไว้จะเข้าร่วมมีหลายโครงการซึ่งล้วนเป็นงานที่ถนัด ไม่ว่ารถไฟทางคู่ระยะที่ 2 จํานวน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 4 แสนล้าน บาท รถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน รถไฟสายสีม่วงเตาปูน - ราษฏร์บูรณะ และ สายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม - บางขุนนนท์ มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน บาท ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน มูลค่ากว่า 2 แสนล้าน บาท ยังมีงานโครงการอื่นๆ อีก เช่น โครงการบริหารจัดการนํ้า โดยคาดว่าบริษัทจะได้งานในมือ 3 แสนล้าน บาท
"เราพร้อมเข้าร่วมประมูลโครงการภาครัฐ ทั้งงานก่อสร้างและร่วมลงทุน PPP ขอให้รัฐเร่งประมูลโครงการ เราเตรียมพันธมิตรไว้เรียบร้อยแล้ว เช่นรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะร่วมกับจีนยื่นประมูลโครงการ "
ขณะที่กําไรขึ้นต้นของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ประเมินจากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 10% เพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ 2559 อยู่ที่ 7 - 8% และปี พ.ศ 2561 คาดว่าจะได้ มากกว่า 10% เนื่องจากงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศมีขนาดใหญ่ รวมทั้งงานในและต่างประเทศก็ดี
สําหรับงานในต่างประเทศ " เปรมชัย " ขยายความว่า ที่ได้แล้วมี 2 โครงการคือ ทางยกระดับ 5 หมื่นล้าน บาท ความคืบหน้าก่อสร้าง 8% กับรถไฟฟ้ายกระดับ 3 หมื่นล้าน บาท ที่เมืองดักการ์ ประเทศบังคลาเทศ ขณะเดียวกันยังร่วมประมูลสนามบินอีก 3 หมื่นล้าน บาท และมอเตอร์เวย์อีก 1 แสนล้าน บาท รวมทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน 3 หมื่นล้าน บาท โรงบําบัดนํ้าเสีย และจะร่วมประมูลสนามบินที่มีขนาดใหญ่พอๆ กับสนามบินสุวรรณภูมิในไตรมาสแรกของปี พ.ศ 2561
ด้าน " โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย " เมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาลเมียนมา เป็นอีกโปรเจ๊กต์ที่ " บิ๊กอิตาเลี่ยนไทย " เกาะติดแบบใจหายใจควํ่าหลังหยุดชะงักมานานหลายเดือนหลังมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ "โครงการทวาย เราก็ติดตามประชุมร่วมกับพม่าทุกเดือน ซึ่งโครงการกลับมาเริ่มใหม่หลังเปลี่ยนรัฐบาล ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา "
ในส่วนของเราเรียบร้อยแล้ว เหลือฝ่ายพม่าพิจารณา อนุมัติใบอนุญาตการเช่าใช้ที่ดิน ระยะเวลา 75 ปี รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ( EHIA ) และ ด้านเทคนิค ซึ่งได้จ้างที่ปรึกษาจากประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัท นิปปอน โคอิ จํากัด และ โอเรกอน จากยุโรป ดู การออกแบบ โครงสร้างพื้นฐาน และระบบพลังงาน ซึ่งอิตาเลี่ยนไทยได้ส่งแบบการก่อสร้างไปให้พม่าตั้งแตีปี พ.ศ 2559 คาดว่าพม่าจะจ้างที่ปรึกษาต้นปีนี้ โดยใช้เงินจากอิตาเลี่ยนไทย ซึ่งโครงการทวายงานเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ค่อนข้างช้า ทําให้ตอนนี้เริ่มงานไม่ได้เลย
" การชะลอโครงการทวายมีผลกระทบมาก เพราะโครงการควรจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือน มิถุนายน ปี พ.ศ 2559 แต่เงียบสนิทไม่มีอะไรเกิดขึ้นใน 1 ปีที่ผ่านมา มั่นใจว่าไตรมาส 2 ปีนี้จะเริ่มดําเนินการได้ " นายเปรมชัยกล่าวว่า สําหรับโครงการทวายบริษัทได้จับมือกับ บมจ. สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ลงทุนคนละประมาณ 6,389 ล้าน บาท หรือ 200 ล้าน USD เงินกู้อีกประมาณ 19,169 ล้าน บาท หรือ 600 ล้าน USD พัฒนาโครงการ ในเบื้องต้นลงทุนไปแล้ว 7,000 - 8,000 ล้าน บาท สําหรับพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มีพื้นที่ขาย 13,000 ไร่ ส่วนถนนเชื่อมไปยังทวาย รัฐบาลไทยให้รัฐบาลพม่ากู้ในอัตราดอกเบี้ยตํ่าโดยเปิดประมูล และอิตาเลี่ยนไทยก็มีสิทธิเข้าร่วมประมูล ถ้าประมูลได้ เราก็จะเดินหน้าก่อสร้างต่อไป จากนั้นจะทยอยพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม อินฟราสตรักเจอร์ ท่าเรือ โรงไฟฟ้า 400 เมกะวัตต์ วงเงิน 31,949 ล้าน บาท หรือ 1,000 ล้าน USD ใช้เวลาดําเนินการประมาณ 10 ปี
นอกจาก " ทวาย " ยังมีโครงการเหมืองโพแตช จ. อุดรธานี " บิ๊กอิตาเลี่ยนไทย " ยังไม่สามารถผลักดันไปจนตลอดรอดฝั่งได้ในห้วงเวลาที่ผ่านมา " เราลงทุนไป 4,000 - 5,000 ล้าน บาท ซื้อสิทธิสัมปทานจากคานาดา ระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี ตอนนี้ต้องปรับโครงสร้างให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติเหมืองแร่ใหม่ คาดว่าอีก 6 เดือนจะได้รับใบอนุญาตจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ หลังจากนั้นจะขายหุ้นบางส่วนเพื่อนําเงินมาลงทุน "
สําหรับโครงการนี้บริษัทถือหุ้น 90% อีก 10% ถือโดยกระทรวงการคลัง จะขายให้จีนประมาณ 20% ทําให้มีเงินทุนโครงการประมาณ 31,949 ล้าน บาท หรือ 1,000 ล้าน USD มาลงทุนโครงการระยะแรก จะมีกําลังการผลิต 2 ล้านตัน ต่อ ปี เงินจํานวนนี้มาจากผู้ถือหุ้นประมาณ 300 USD และ จากเงินกู้ 700 ล้าน USD ในอนาคตข้างหน้า จะเพิ่มอีก 31,949 ล้าน บาท หรือ 1,000 ล้าน USD เพื่อเพิ่มกําลังการผลิตจาก 2 เป็น 4 ล้านตัน ต่อ ปี โดยต้องรีไวต์แผนธุรกิจใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าโครงการจะได้รับการอนุมัติ
หมายเหตุ : 1) ที่มาจาก หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 22 - 24 มกราคม ปี พ.ศ 2561
2) โปรดติดตามรายละเอียดการลงทุนใน สภาวะตลาดกระทิง และ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างขาขึ้น ได้ใน longtunbysak.blogspot.com