1) Fiscal policy คือการที่รัฐบาลควบคุมการเก็บเงินภาษี และการนำเงินภาษีไปใช้
2) Monetary policy คือการที่ธนาคารกลางควบคุม
2.1 อัตราดอกเบี้ย
2.2 จำนวนเงินในระบบผ่านการออกพันธบัตร
ที่ผ่านมา
Monetary policy 1.0 = การลดดอกเบี้ยเวลาเศรษฐกิจไม่ดี แต่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่าง EU & Japan ดอกเบี้ยลดจนเหลือ 0% แล้ว
Monetary policy 2.0 = ผลของข้อ 1.0 ทำให้ธนาคารกลางเริ่มใช้การ print money แล้วนำไปซื้อสินทรัพย์ เรียกเท่ห์ๆ ว่า QE
Monetary policy 3.0 = หลังจากข้อ 1.0 และ 2.0 เริ่มตันๆ ใช้ไม่ได้ผลเพราะดอกเบี้ยใกล้ๆ 0 แถมเงิน QE ส่งผลดีแต่คนรวยที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์ทั่วโลก ไม่ได้ช่วยคนส่วนใหญ่ สิ่งที่เรากำลังจะมุ่งหน้าไป คือ
3.1 ธนาคารกลางจะ fix interest rate at 0%
3.2 รัฐบาลจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ส่งผลใ้ห้เกิด deficit แบบ indefinitely โดยให้ ธนาคารกลางช่วย finance fiscal dificit โดยการพิมพ์เงิน (คล้ายๆ QE)
3.3 นโยบาย target inflation ไว้ประมาณ 0-3%
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นแล้วใน EU and Japan แต่คนส่วนมากยังไม่ get (ขอบคุณ Ray Dalio ที่ช่วยชี้แนะ)
ระบบการเงินโลกกำลังเปลี่ยนไปแนวๆ นี้ ผลคือ
1) คนมีเงินที่หวังกินดอกเบี้ยจากการฝากธนาคารแบบเศรษฐีเก่าน่าจะเหนื่อย ไม่มีดอกเบี้ยแถมเงินจะด้อยค่าไปเรื่อยๆ อีกนาน
2) สินทรัพย์หลายๆ อย่าง เช่น หุ้น ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ น่าจะคงตัวอยู่ในระดับสูงได้อีกนาน บริษัทจำนวนมากที่มีเงินเหลือจึงซื้อหุ้นคืน หุ้นทั่วโลกที่มีคุณภาพดี มักจะ trade กันแถวๆ PE 30 เท่า ทั้งๆ ที่บริษัทโตแบบช้าๆ
3) สินทรัพย์อาจตกลงมาเป็นครั้งคราว แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับขึ้นไปใหม่ในระดับสูงๆ เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมใจกันเสกเงินมาใช้จ่าย ทำให้เงินท่วมโลก
4) ความรู้เรื่องการเงิน การลงทุนจะสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ คนมีเงินออมที่หวังจะฝากธนาคาร หรือซื้อพันธบัตรจะเหนื่อยเพราะไม่มีดอกเบี้ย
5) การลงทุนในสินทรัพย์ก็ทำได้ยากขึ้นในสถานการณ์ที่สินทรัพย์มีราคาสูง (การลงทุนแบบง่ายๆ คือในสถานการณ์ที่สินทรัพย์ราคาตกต่ำ ปันผลสูงๆ)
6) คนที่เข้าใจและปรับตัวได้ น่าจะได้ประโยชน์ น่าจะเสกเงินได้ คนที่ไม่เข้าใจน่าจะเหนื่อย หาผลตอบแทนยาก แถมความเสี่ยงสูง cr chal https://www.linkedin.com/content-guest/article/its-time-look-more-carefully-monetary-policy-3-mp3-modern-ray-dalio/