ค่าเงินบาทแข็งสุดในอาเซียน: คำตอบอยู่ที่ดุลการชำระเงิน และแรงหนุนต่างชาติหัวใจไทย
ตั้งแต่ต้นปีจนถึง 17 ก.ย. 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ค่าเงินบาท
จาก 34.38 บาท/ดอลลาร์ แข็งขึ้นมาเหลือเพียง 31.76 บาท/ดอลลาร์
และเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ไทยกลายเป็น “ผู้แข็งค่ามากที่สุด”
คำถามคือ…อะไรผลักดันให้เงินบาทแข็ง
คำตอบอยู่ที่ ดุลการชำระเงิน (Balance of Payments: BoP): ตัวขับเคลื่อนหลักของค่าเงินบาท

การส่งออกสินค้า: เครื่องยนต์หลักของดุลการค้า
ผู้ประกอบการไทยเร่งส่งออก (front-loading) เพื่อเลี่ยงภาษีของสหรัฐ ขณะเดียวกันไทยยังเป็นศูนย์กลางค้าทองคำในภูมิภาค เพียง 7 เดือนแรกของปีนี้ส่งออกทองคำกว่า 7.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกือบเท่าทั้งปี 2567 แล้ว เหตุการณ์คล้ายกันเคยเกิดในปี 2563 เมื่อราคาทองคำโลกพุ่งแรงจนกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่การนำเข้ายังโตช้ากว่าเพราะการลงทุนในประเทศไม่ฟื้นเต็มที่ หลายโครงการยังไม่เกิด ทำให้ดุลการค้ายังเกินดุลต่อเนื่อง
การท่องเที่ยว: เสาหลักรายได้บริการ
ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเกินกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน รายได้นี้สร้างแรงซื้อเงินบาทโดยตรง ทั้งจากการใช้จ่ายและการแลกเปลี่ยนเงินตรา ส่งผลให้เงินบาทแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เงินทุนไหลเข้า: กระจกสะท้อนความเชื่อมั่น
แม้ตลาดหุ้นไทยยังไม่คึกคัก แต่ตลาดตราสารหนี้ยังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยกว่า 60,440 ล้านบาท ตรงข้ามกับปีก่อนที่ขายสุทธิ 25,768 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนทั้งแรงเก็งกำไรค่าเงินและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพเศรษฐกิจไทย
Net Errors and Omissions (NEO): ตัวเลขที่บอกเล่าช่องโหว่ข้อมูล
NEO คือค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิที่สะท้อนธุรกรรมระหว่างประเทศที่ไม่ได้ถูกบันทึกครบถ้วน หากเป็นบวก ดุลการชำระเงินรวมจะดูเกินดุลมากขึ้น หนุนให้เงินบาทแข็ง ในทางตรงกันข้าม หากเป็นลบ ก็ทำให้ดุลขาดดุลและกดดันเงินบาทอ่อนค่า IMF แนะนำว่า NEO ควรไม่เกิน ±5% ของมูลค่าการค้า สำหรับประเทศกำลังพัฒนาควรต่ำกว่า 2% และประเทศพัฒนาแล้วไม่เกิน 1%
ล่าสุดไตรมาส 1 ปี 2568 NEO ของไทยอยู่ที่ 3,400 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1.5% ของมูลค่าการค้า แม้จะสูงแต่ยังอยู่ในเกณฑ์รับได้ และต่ำกว่าปี 2563 ที่แตะ 3%
แต่ NEO ยังคงสะท้อนช่องโหว่ข้อมูลที่ยังรอการแก้ไข เช่น การโอนเงินนอกระบบ การค้าชายแดนกึ่งไม่เป็นทางการ หรือธุรกรรมเหลื่อมเวลาอย่างการส่งออกทองคำที่เงินเข้ามาแล้ว แต่เอกสารรายงานล่าช้า ทำให้ตัวเลขการค้ากับการเงินไม่ตรงกัน
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า: จิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่
ปัจจัยทรงพลังที่สุดคือการอ่อนค่าของดอลลาร์ ตั้งแต่ต้นปี 2568 ดัชนีดอลลาร์ (DXY) อ่อนลงกว่า 10% จากความไม่แน่นอนนโยบายการค้าภายใต้รัฐบาล Trump และการคาดการณ์ว่า Fed อาจลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด เมื่อดอลลาร์อ่อน เงินทุนจำนวนมากจึงไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย พูดง่าย ๆ แค่ดอลลาร์อ่อน บาทก็แข็งได้เอง
แล้วทำไมค่าเงินอาเซียนอื่นไม่แข็งเท่าไทย
ดุลการบัญชีเดินสะพัดไม่แข็งแรง
• ฟิลิปปินส์: พึ่งพาการนำเข้าน้ำมัน อาหาร และวัตถุดิบจำนวนมาก แม้จะมีรายได้จากบริการและเงินโอนกลับประเทศของแรงงานในต่างประเทศ (remittances) แต่ยังไม่เพียงพอชดเชยการนำเข้า ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
• อินโดนีเซีย: ได้ประโยชน์จากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหิน นิกเกิล และน้ำมันปาล์ม แต่มีการนำเข้าเครื่องจักรและพลังงานในสัดส่วนสูง ส่งผลให้ดุลการค้าไม่เกินดุลมากนัก
• เวียดนาม: แม้การส่งออกขยายตัวต่อเนื่อง แต่โครงสร้างเศรษฐกิจยังพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนและวัตถุดิบเป็นหลัก ทำให้ดุลการค้าไม่เกินดุลมากเพียงพอที่จะหนุนค่าเงิน
• มาเลเซีย: แม้มีรายได้จากการส่งออกน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันปาล์ม แต่ถูกหักล้างด้วยการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และสินค้าทุนสำหรับการผลิต ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลไม่สูงนัก
เงินทุนเคลื่อนย้ายต่างกัน
-เวียดนามและฟิลิปปินส์: เผชิญแรงขายหุ้นและตราสารหนี้จากนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากกังวลต่อเสถียรภาพทางการเงินและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
-มาเลเซีย: นักลงทุนต่างชาติยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพทางการคลังและการเมือง ทำให้เงินทุนไหลเข้าในตลาดการเงินไม่ต่อเนื่อง
นโยบายการเงินและความเชื่อมั่น
-สิงคโปร์: ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ดำเนินนโยบายกำกับดูแลค่าเงินผ่านตะกร้าสกุลเงิน (NEER band) โดยอนุญาตให้ SGD แข็งค่าได้ แต่ควบคุมให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม ทำให้ค่าเงินแข็งค่าแต่ไม่มากเท่าค่าเงินบาท
-อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์: มีภาระหนี้สาธารณะและหนี้เอกชนในรูปสกุลดอลลาร์สูง ความไม่แน่นอนของดอกเบี้ยในตลาดโลกทำให้เงินทุนไหลออกได้ง่าย ส่งผลให้ธนาคารกลางมีข้อจำกัดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินจึงไม่ดึงดูดนักลงทุน
-มาเลเซีย: ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) เน้นการรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการควบคุมเงินเฟ้อ จึงไม่ปล่อยให้ค่าเงินแข็งค่ารวดเร็วหรือรุนแรง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาคการส่งออก
-เวียดนาม: ธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) ใช้นโยบายกึ่งตรึงค่าเงินกับดอลลาร์สหรัฐ แม้แรงกดดันในตลาดจะผลักดันให้ค่าเงินแข็งค่า แต่ทางการเลือกที่จะกดค่าเงินไว้เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก
-ไทย: แม้เศรษฐกิจขยายตัวเพียงประมาณ 3% แต่ฐานะการเงินระหว่างประเทศของไทยมีความแข็งแกร่ง ทั้งในด้านเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงและหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้เงินบาทถูกมองว่าเป็น safe haven ของภูมิภาค อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายดูแลค่าเงินโดยมุ่งเน้น “การลดความผันผวน” มากกว่าการตรึงค่าเงิน ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพค่าเงินบาทมากกว่าสกุลเงินอื่นในอาเซียน
ผลกระทบที่น่าเป็นห่วงต่อ
- ผู้ส่งออก: ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้รายได้ทันทีหายไป เช่น การส่งออกมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ จากเดิมที่เคยได้รับ 340 ล้านบาท อาจลดเหลือเพียง 317 ล้านบาท กดดันความสามารถในการแข่งขันโดยตรง
-ผู้ประกอบการ SME: กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและกลางเผชิญแรงกดดันมากกว่า เนื่องจากขาดเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และมีต้นทุนทางการเงินสูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
-ผู้นำเข้าและผู้บริโภค: ได้อานิสงส์จากต้นทุนนำเข้าที่ถูกลง ส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าหลายรายการทรงตัวหรือลดลง ช่วยบรรเทาแรงกดดันด้านค่าครองชีพในบางส่วน
-การท่องเที่ยว: คนไทยได้ประโยชน์จากการเดินทางไปต่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายถูกลง แต่สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การใช้จ่ายในไทยอาจดู “แพงขึ้น” เมื่อเทียบกับสกุลเงินของตน อาจส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวขาเข้าฟื้นตัวไม่เต็มที่
บทสรุป
“ค่าเงินที่แข็งเกินไปก็เจ็บ อ่อนเกินไปก็เสี่ยง”
ทางรอดที่แท้จริงคือ เสถียรภาพ ไม่ใช่การวิ่งแข่งให้แข็งหรืออ่อนเกินไป เพราะค่าเงินที่มีเสถียรภาพเท่านั้น ที่ทำให้ธุรกิจวางแผนได้ และประชาชนไม่ต้องทนทุกข์กับความผันผวนเกินจำเป็น
.
เรื่องและภาพ: ธนโชติ นนทกะตระกูล Economist, Bnomics
════════════════
เนื้อหาข้อมูลจาก.. Bnomics by Bangkok Bank