รวมผลกระทบ 'กองทุนหุ้นจีน' พร้อมความเห็น บลจ. กรณีหุ้นจีนร่วงหนักตลอดทั้งสัปดาห์
***หมายเหตุ: The Opportunity รวบรวมความเห็นจากข้อมูลของ บลจ. ต่อกรณีความผันผวนของตลาดหุ้นจีน ที่มีการเผยแพร่เป็นสาธารณะ ตั้งแต่วันที่ 27 - 30 ก.ค.
สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนโดยเฉพาะกลุ่ม Offshore ร้อนระอุไปด้วยการจัดระเบียบจากทางการ ตั้งแต่การออกกฎไม่ให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแสวงหากำไร สู่การออกคำสั่งให้ Tencent ยกเลิกผูกขาดลิขสิทธิ์เพลงภายใน 30 วัน พร้อมปรับ 500,000 หยวน หลังเข้าข่ายผูกขาดทางธุรกิจ
นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลจีนสั่งให้ Meituan ดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นธรรมกับคนขับรถส่งอาหารด้วยการให้เงินเดือนตามเกณฑ์ขั้นต่ำ ขณะเดียวกัน KE Holdings ถูกเรียกสอบสวนจากทางการจีน กรณีบังคับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ลงข้อมูลเฉพาะแพลตฟอร์มของ KE Holdings เท่านั้น
การจัดระเบียบที่เข้มงวดขึ้นของทางการจีน ทำให้หุ้นจีนมีความผันผวนอย่างหนัก
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 'บลจ. ไทย' หลายสถาบัน ได้มีการออกบทวิเคราะห์ และประเมินผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นจีนที่มีต่อกองทุน ดังนี้
---
- กองทุน KT-CHINA: กองทุนหลักสไตล์ flexible “ยืดหยุ่น” มองเกมล่วงหน้าถ้าเห็นปัจจัยเปลี่ยนก็ปรับพอร์ตว่องไวไม่แช่อยู่กับหุ้นตัวเดิมๆ คงเอาตัวรอดได้ดีกว่ากองทุนอื่นๆที่ยึดสไตล์เดียว ปัจจุบันผู้ลงทุนเผชิญ 3 สภาวะพร้อมกันคือ ตลาด All-China ยากมาก แต่ศักยภาพการเติบโตระยะยาวสูง และราคาหุ้นถูกลงน่าซื้อมาก ทำอย่างไร? ตอบเลย! ใช้วิธีจำกัดวงเงินลงทุน (limited positions) ก็เพียงพอ ก่อนหน้านี้เราเห็นควรให้คงสัดส่วนแค่ขั้นต่ำ แต่เมื่อราคาลงมาขนาดนี้แล้วก็สามารถซื้อเพิ่มเติมได้ภายในงบประมาณที่ตั้งไว้ เชื่อมั่นว่า fund manager ทีมนี้จะเข้าไปรับโอกาสงามๆจากหุ้นดีๆที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแต่ราคาลงมามากตามตลาดได้อย่างแน่นอน
- กองทุน KT-Ashares: “แทบไม่เกี่ยวอะไรโดยตรง” ตลาด a-shares เผชิญแรงกดดันเรื่องกฎระเบียบน้อยกว่า ขณะรัฐบาลจีนคุมเข้มบางธุรกิจ ก็คงต้องเพิ่มแรงสนับสนุนบางธุรกิจ เรายืนยันว่าตลาด a-shares “ง่ายกว่า” จึงน่าลงทุนด้วยสัดส่วนที่มากกว่าเช่นกัน กองทุนหลักบริหารแบบ active เลือกหุ้นใน universe กว้างภายใต้กรอบนโยบาย sector neutral จึงมิได้กระจุกในหุ้นกลุ่มแคบๆหรือสไตล์เดียวอยู่แล้ว สรุป “ถือต่อ” ถ้ามีไม่พอก็สะสมเพิ่ม
- กองทุน KT-CHINABOND: “ผู้ชนะตัวจริงในตลาดจีน” เศรษฐกิจผ่านจุดพีคของการฟื้นตัว ยีลด์พันธบัตรจีนสูงเกินไป นักลงทุนต้องการถือครองสินทรัพย์สกุลหยวนมากขึ้นตามแนวโน้ม Adoption megatrend ตลาดหุ้นจีนช่วงนี้เล่นยาก fund flows จึงน่าจะโถมเข้าใส่ตราสารหนี้จีนเป็นหลัก สรุปคือซื้อต่อเนื่องได้ทุกวันตามที่ให้ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

- กองทุน LHCHINA: สัดส่วนการลงทุนใน TAL 1.23% และใน New Oriental Education 0.18%
- กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนหลัก UBS Lux Equity Fund-China Opportunity (USD) ได้ลดสัดส่วนของหุ้นบริษัทสอนพิเศษมาอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มิ.ย. กองทุนมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้เพียง 1.59%
---

KKP GNP มีนโยบาย Underweight หุ้นจีน ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนมีหุ้นจีน 0.8% โดยมีเฉพาะหุ้นกลุ่ม Health Care และไม่มีหุ้นกลุ่ม Education
---

- กองทุน SCBCHIN: (ลงทุนในกองทุน UBS All China) ได้มีการทยอยลดการถือครองหุ้นในธุรกิจนี้ลงมาตั้งแต่เริ่มมีข่าวลือเกี่ยวกับแนวทางดังกล่าวของรัฐบาล โดย ณ สิ้นเดือน มิ.ย. มีสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจ After school tutor อยู่ที่ 1.2% ของพอร์ต และก่อนการตกลงอย่างรุนแรงของราคาหุ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมามีการถือหุ้นในธุรกิจนี้อยู่น้อยกว่า 1%
- กองทุน SCBCHEQ (ลงทุนในกองทุน Ninety One All China Equity) ผู้จัดการกองทุนไม่ชอบความเสี่ยงจากการอาจถูกเข้ากำหนดควบคุมโดยรัฐบาลของธุรกิจนี้ตั้งแต่ปี 2018 จึงไม่ได้มีการลงทุนใดๆในธุรกิจ After school tutor
- กองทุน SCBAEM/SCBAEMH (ลงทุนในกองทุน BlackRock Global Funds Asian Growth Leader) ณ สิ้นเดือน มิ.ย. กองทุนไม่มีการถือหุ้นใดๆในธุรกิจ After school tutor
---

- กองทุน TCHCON : สัดส่วนการลงทุนใน TAL 1.05% และใน New Oriental Education 1.4%
กลยุทธ์การลงทุน: แม้ว่ากลุ่มบริษัทติวเตอร์จะได้รับผลกระทบในเชิงลบ แต่บริษัทเทคโนโลยี และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคอื่น ๆ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง บลจ. ทิสโก้ มองว่าเห็นศักยภาพเติบโตที่สูงในระยะยาว โดยการปรับตัวลงมาครั้งนี้เป็นจังหวะให้สามารถเข้าลงทุนได้ แต่สำหรับนักลงทุนที่ยังกังวลมากสามารถแบ่งทยอยสะสมได้
---

ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากทางภาครัฐมีผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงต่อการดำเนินธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ทุกวิกฤติมีโอกาสซ่อนอยู่ การจัดการความเรียบร้อยทำให้เกิดเสถียรภาพกับการลงทุนและการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะยาว และทำให้การลงทุนในจีนเป็นจุดหมายของนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
กองทุน TMBCOF: ลดสัดส่วนการลงทุนใน TAL เหลือ 1.6%
กลยุทธ์การลงทุน: กลยุทธ์ Wait & See สำหรับนักลงทุนระยะสั้น เพื่อรอความชัดเจนของผลกระทบ สำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาวอาจใช้โอกาสในการปรับฐานที่ระดับ -30% (ปัจจุบัน -27%) ทยอยเข้าลงทุน เนื่องจากระดับ Valuation ปัจจุบันมี Forward PE เพียง 15x ซึ่งถูกกว่าระดับ Forward PE สูงสุดของปีนี้ที่ 19x ขณะที่รายได้และกำไรยังคงมีการเติบโตในระดับที่น่าสนใจ
กองทุน TMB-ES China A -Active: สัดส่วนการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีน้อยกว่า 5%
กลยุทธ์การลงทุน: มีสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีไม่ถึง 5% แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องกฎหมายป้องกันการผูกขาด โดยกองทุนหลักปรับฐานมาแล้วประมาณ -25% จากจุดสูงสุด สำหรับนักลงทุนระยะสั้นแนะนำ Wait & See เพื่อรอดูความชัดเจนจากนโยบายทางการจีน และยังมีความเสี่ยงการกระจุกตัวการลงทุน
กองทุน TMB-ES-Startech: ลงทุนในบริษัทขนาดกลางและเล็ก จึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบ
กลยุทธ์การลงทุน: ลงทุนล้อไปกับดัชนี Star50 ซึ่งดัชนีนี้กำลังจะทำสถิติจุดสูงสุดใหม่ ลงทุนในบริษัทขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากกฎหมายป้องกันการผูกขาด แต่ด้วยลักษณะความเป็นบริษัทกลาง-เล็กด้านเทคโนโลยี จึงแนะนำสัดส่วนไม่เกิน 10% ของพอร์ตการลงทุน

การลงทุนในหุ้นกลุ่มการศึกษาจีนของกองทุน KAsset
- ปัจจุบันกองทุนหุ้นจีนของ KAsset ไม่มีการลงทุนให้หุ้นกลุ่มการศึกษาของจีนดังกล่าว จึงไม่มีผลกระทบต่อกองทุนหุ้นจีนของ KAsset
- ส่วนกองทุนหุ้นเอเชียของ KAsset ได้แก่ กองทุน K-ASIACV และกองทุน K-ASIAX มีสัดส่วนลงทุนในหุ้นการศึกษาของจีนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และกองทุนมีการกระจายลงทุนในประเทศอื่น ๆ ทั่วเอเชีย อาทิ เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย เป็นต้น จึงคาดว่าผลกระทบค่อนข้างมีจำกัด
ในระยะสั้น คาดว่าตลาดหุ้นจีนยังมีความผันผวนสูงจากความเสี่ยงด้านนโยบายภาครัฐในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีนและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีน จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจและการบริโภค ที่จะหนุนให้การเติบโตระยะยาวยังคงสดใส ดังนั้นหากนักลงทุนสามารถเข้าลงทุนระยะยาวได้ การทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดกำลังพักฐาน มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่น่าสนใจ คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของตลาดที่แข็งแกร่งในอนาคต
บลจ. กสิกร ยังคงมุมมอง Positive สำหรับกองทุน K-CHINA / K-CCTV / K-CHX / K-ASIACV / K-ATECH /K-ASIAX แต่ความผันผวนจะยังมีสูงในระยะนี้
- สำหรับผู้ที่มีหุ้นจีน/เอเชียในพอร์ตอยู่แล้วและขาดทุนในระยะสั้น หากต้องการเพิ่มน้ำหนักในหุ้นจีน/เอเชีย สามารถเข้าสะสมเพิ่มได้
-สำหรับที่ผู้มีหุ้นจีน/เอเชียในพอร์ตอยู่แล้วและขาดทุนในระยะสั้น หากมีน้ำหนักหุ้นจีน/เอเชียในพอร์ตการลงทุนมากแล้ว สามารถถือต่อเพื่อรอโอกาสรับผลตอบแทนที่ดี
-สำหรับผู้ที่ยังไม่มีหุ้นจีน/เอเชียในพอร์ต ถือเป็นโอกาสทยอยเข้าลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
---

ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย เป็นสิ่งที่ประเมินและคาดการณ์ได้ยาก คาดว่าในระยะยาวตลาดจะอยู่ในภาวะสมดุลด้านการแข่งขันระหว่างรายใหญ่และรายเล็กมากขึ้น ผู้ประกอบการขนาดกลาง-เล็กจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น
- กองทุน WE-GEDUCATION: สัดส่วนการลงทุนใน New Oriental Education 2.66%
กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำให้ชะลอหรือหยุดการลงทุนเพิ่มโดยไม่แนะนำให้ขายตัดขาดทุน เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวพอสมควรแล้ว ประกอบกับกองทุนหลักได้ปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นการศึกษาของจีนไปมากระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน
- กองทุน WE-CHIG: สัดส่วนการลงทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่าง KWG Living Group 3.9% และใน KWG Group 2.6%
- กองทุน WE-DEWORLD: มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนบางตัวที่ได้รับผลกระทบ เช่น Bilibili, Meituan และ Tencent
กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำให้ผู้ลงทุนรอจังหวะเข้าสะสมเพิ่ม รวมถึงรอให้ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาเริ่มหยุดการพักฐานเสียก่อน เนื่องจากยังคงเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานระยะยาวของบริษัท และมองว่าการเข้าควบคุมของทางการจีนจะเป็นประโยชน์ต่อหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบของกองทุน WE-CHIG และ WE-DEWORLD
---

นโยบายจัดระเบียบที่เข้มงวดขึ้นของทางการจีน กระทบการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มการศึกษาอย่างชัดเจน ทำให้ความน่าสนใจลดลงไปมากแม้ว่าราคาจะปรับตัวลงมามากแล้วก็ตาม ซึ่ง บลจ. แอสเซทพลัส ได้ทยอยลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวไปเกือบทั้งหมดแล้ว
- กองทุน ASP-EVOCHINA: ปรับสัดส่วนการลงทุนเหลือไม่ถึง 1% ในพอร์ต
กลยุทธ์การลงทุน: หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงถูกคุมเข้มจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนเริ่มมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจมากขึ้น แต่ไม่ได้คาดว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะฟื้นตัวกลับมาเร็วนัก เนื่องจากการดำเนินนโยบายจากรัฐบาลเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา มีมุมมองว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค และ หุ้นขนาดกลาง-เล็กอาจมีความน่าสนใจมากกว่าในระยะสั้น และได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มดังกล่าวแล้ว

- กองทุน PWIN: ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนลง
กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนมีการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจีนมาระยะหนึ่ง คาดว่ากองทุนจะได้รับผลกระทบที่จำกัด บลจ.ฟิลลิป ยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐาน และมองว่าการปรับตัวลงในครั้งนี้เป็นโอกาสในการลงทุนบริษัทดีที่มีราคาถูก
- กองทุน P-CGRREN: ไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ แต่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของตลาด อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรม EV และ Clean Energy ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน
---

- กองทุน PRINCIPAL CHEQ: ไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
กลยุทธ์การลงทุน: ผู้จัดการกองทุนหลักประเมินถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่ออุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด โดยกองทุนหลัก UBS China A Opportunity Fund ยังคงเน้นการลงทุนในกลุ่มผู้ชนะของแต่ละอุตสาหกรรมในจีนแผ่นดินใหญ่
- กองทุน PRINCIPAL APDI: ไม่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
กลยุทธ์การลงทุน: กองทุนไม่ได้มีการลงทุนในกลุ่มการศึกษาจีนมานับตั้งแต่ในอดีต เนื่องจากไม่สอดคล้องกับนโยบายการลงทุนที่แสวงหาสินทรัพย์ที่เติบโตและสร้างเงินปันผลได้ รวมทั้งความผันผวนไม่สูงจนเกินไป