ความเหลื่อมล้ำ
“ความเหลื่อมล้ำ” (inequality) หมายถึงความไม่เท่าเทียมกัน, ซึ่งเนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันปรากฏในทุก ๆ เรื่อง, ในทุก ๆ พื้นที่, ในทุก ๆ ภาคส่วน และในทุก ๆ กาลเวลา ดังนั้นจึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจจะขจัดให้หมดสิ้นไปได้
แต่สิ่งที่พึงจะพอกระทำได้ ก็คือการลดความเข้มข้นของความเหลื่อมล้ำให้น้อยลงตามสมควร
เราจะมีความเห็นใจต่อมนุษย์ที่ถูกกดขี่ มนุษย์ที่เกิดมาด้อยกว่า รวมไปถึงกลุ่มคนที่ถูกกีดกันให้เป็น ‘คนอื่น’ ในสังคมได้อย่างไร
รากฐานของจริยธรรมนั้นมาจากการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม การเติบโตผ่านการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ช่วยให้มนุษย์มีความสามารถที่จะคิดจินตนาการได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของเพื่อนมนุษย์คนอื่น มนุษย์สามารถคิดได้ในลักษณะการ “ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา” เพื่อให้เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่จะเกิดกับคนที่ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ
ว่ากันว่า เชื้อไฟแห่งความโกรธที่มีประสิทธิภาพที่สุดก็คือ ‘ความไม่ยุติธรรม’ เคยไหม…ที่เราแอบน้อยใจว่าพ่อแม่มีเหตุผลหรือใช้กฏเกณฑ์อะไรทำไมจึงให้น้องหรือพี่ได้ขนมมากกว่า หรือเราเองก็มักเปรียบเทียบตัวเองกับเพื่อนหรือคนรอบข้างอยู่บ่อยๆ และคิดว่า ‘โลกนี้มันไม่แฟร์’ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากความรู้สึกเดียวกันนี้ เกิดขึ้นในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ
หากตัดเรื่องที่นอกเหนือการความคุมของคนตัวเล็กอย่างเราออกไปอย่างเช่น นโยบาย กฎหมาย และการศึกษา สิ่งไหนคือสิ่งที่เราทำได้ เพื่อให้ช่องว่างนี้แคบลง
ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนพูดกันเรื่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ตั้งแต่วงวิชาการ วงหาเสียง รวมไปถึงวงเหล้า เรื่องความเหลื่อมล้ำก็มีอยู่ในทุกสื่อจนไม่รู้ว่าจะพูดถึงในมุมอีกไหนอีกแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกมองข้ามไป นั่นคือ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความเหลื่อมล้ำไม่หายไป
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้คือการใช้จ่ายตามความพอดีของขนาดตนเอง และเริ่มที่จะวางแผนเงินออมอย่างจริงจัง การมีเงินเก็บคือรากฐานของความมั่นคงอย่างแท้จริง การวางแผนการเงินส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งทีจะนำทางเราไปสู่อนาคตในรูปแบบของตนเอง
ในยุคที่เรียกได้ว่า บริโภคนิยม อย่างแท้จริง การแข่งขันทางการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นบวกกับสื่อโฆษณาต่างๆ ที่เข้าถึงได้ง่าย ได้สร้างค่านิยมที่ทำให้เราอยากซื้ออยากหามากขึ้น เรานิยมในการซื้อสินค้าที่เป็นที่นิยมของตลาด เพื่อให้ตนเองเป็นที่นิยมของผู้อื่น
เราจะลืมตาอ้าปากได้อย่างไรเมื่อใจเรานั้นเต็มไปด้วยอัตตา
ผมเป็นเพียงคนตัวเล็กที่ถือครองทรัพย์สินอันน้อยนิดของประเทศนี้ แต่ผมเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ความรู้เท่่่านั้น ที่จะฉุดเราขึ้นจากดินและทราย
ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง กระท่อมน้อยของลุงทอม (Uncle Tom's cabin) เขียนโดย แฮเรียต บิชเช่อร์ สโตว์ แปลโดย อ. สนิทวงศ์ เล่าถึงชิวิตความลำบากของทาสผิวสีในช่วงค้าทาส ของสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนได้เล่าถึงความลำบากและความเหลื่อมล้ำอันโหดร้ายได้อย่างลึกซึ้ง ในยุคที่แทบไม่เห็นหนทางสู้อิสระภาพ ของความเป็นมนุษย์ คนผิวสีล้วนแต่ต่อสู้ด้วยความหวัง ยังสามารถยืนหยัดมาได้จนมาถึงยุคของอดีตนายกฯ ผิวสี คนแรกของสหรัฐฯ
สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือชีวิตของผู้เขียนเอง นางสโตว์ได้ใช้เวลา ในช่วงกลางคืน ขณะที่ลูกๆทั้งเจ็ดคนของนางหลับ เขียนหนังสือที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาตร์ของสหรัฐไปตลอดการ
จริงๆ แล้ว ความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่เรื่องใหม่แกะกล่องเพราะมันถือเป็นหัวใจสำคัญของวิชาเศรษฐศาสตร์มาตั้งแต่ก่อนยุค Adam Smith โดยในช่วงศตวรรษที่ 17 กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ที่รู้จักกันในชื่อของ ‘Physiocrat’ ได้ใช้ Tableau économique (ที่คิดค้นโดย Francois Quesnay) เพื่อดูว่าแรงงานและเจ้าของทุน (หุ้นส่วนเจ้าของกิจการ) มีส่วนแบ่งจากมูลค่าทางเศรษฐกิจไปเท่าไหร่ (เช่น ขายของได้ 100 บาท แรงงานได้ไปกี่บาท จ่ายค่าวัตถุดิบกี่บาท และเหลือเป็นกำไรให้หุ้นส่วนเจ้าของกี่บาท) อย่างไรก็ตาม วิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบัน ได้รับอิทธิพลจากแนวคิด ‘Neoliberalism’ ผนวกกับการที่ระบบเศรษฐกิจในเกือบทุกประเทศในโลกเป็นระบบทุนนิยม ความสนใจและการถกเถียงในเรื่องของความเหลื่อมล้ำก็ค่อยๆ จางหายไป
หากแต่เมื่อเราพูดถึงความเหลื่อมล้ำ หรือคนจนในเมือง ก็ยังยากหากจะหาคำนิยามมาอธิบายเจ้าความเหลื่อมล้ำที่ว่า นั่นเพราะทุกซอกหลืบของสังคมล้วนแล้วแต่เหลื่อมล้ำไปด้วยความจน และล้นไปด้วยการพัฒนามากมาย หากแต่สองสิ่งที่ว่ามานี้กลับไม่ได้เดินไปคู่กัน
คือถ้าเป็นพวกไฮโซรวยไปเลย ก็มีเงิน มีคอนเน็คชั่นเป็นลูกท่านหลานเธอ นามสกุลดัง อันนี้รู้กันอยู่ว่าส่วนใหญ่เส้นทางชีวิตโปรยด้วยกลีบกุหลาบ มักได้เปรียบคนอื่นด้วยทุนด้านต่างๆ ถ้าได้ดีคนก็มักไม่แย้งอะไรเพราะคิดว่าเขาวาสนาดีอยู่แล้ว มีอยู่แล้ว เหมาะสมที่เขาจะได้ต่อ พวกชนชั้นกลางมักไม่ริษยาด้วยเพราะส่วนใหญ่ใจมักยอมแพ้ศิโรราบด้วยชนชั้นชาติกำเนิดแต่แรกแล้ว (แต่ชนชั้นกลางมักริษยากันเองครับบอกเลยจากที่สังเกตมา ประมาณว่าขอกดหัวกันเอง ไม่ยอมให้คนที่เคยอยู่ชั้นเดียวกันพัฒนาไปได้ หมั่นไส้ง่ายกว่า)
แม้ทุกคนจะเกิดมาตัวเปล่าเหมือนกัน แต่สิ่งที่ไม่เคยเหมือนและเท่ากันเลยคือ "ต้นทุนของแต่ละคน" ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราเลือกเองไม่ได้ตอนเกิด เช่น สัญชาติ ศาสนา ฐานะครอบครัว หรือแม้กระทั้งชื่อ-นามสกุล บางอย่างอาจจะสามารถเปลี่ยนได้เมื่อโตขึ้น แต่บางอย่างก็เปลี่ยนได้ยากมากจบแทบเป็นไปไม่ได้ ในบางบริบทสังคมคำกล่าวว่า
"เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" แทบไม่มีความหมาย ลองนึกถึงภาพชาวยิวในสมัยสงครามโลกครั้งที่2 หรือชนชั้นจัณฑาลในอินเดียดู
ถ้าจะให้ใกล้ตัวหน่อยก็เด็กเร่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกหรือขายถั่วต้มตามร้านเหล้า มุมมองนึงก็เชื่อว่าถ้าเด็กพวกนั้นมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่จริงๆก็อาจจะฉายแววออกมาเหมือนเพชรในโคลนตม
ตามค่านิยมสังคมว่า การศึกษาทำให้มีอนาคตที่ดี หรือความขยันจะทำให้ประสบความสำเร็จ
ไม่ได้เกี่ยวกับชาติกำเนิดที่เขาเคยเป็น แต่ในอีกมุมนึงตามหลักความน่าจะเป็นง่ายๆ คือจะมีเด็กซักกี่คนที่ได้เข้าใกล้อุดมคติอย่างที่ว่ากันจริงๆ ไม่น่าถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำที่จะสามารถเปลี่ยนสถานะทางสังคมของตัวเองได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังเขาเคยได้รับบาดแผลอะไรมาบ้าง
ในฐานะผู้โชคดีคนนึงที่แม้จะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ก็ถือว่าได้รับต้นทุนดีๆมาเยอะ
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา สถาบันครอบครัว เพื่อนๆและสังคมที่เจอ และที่สำคัญคือโอกาสที่จะได้รับต่อๆไปนั้นมีมากกว่ามาก เพราะโอกาสเหมือนเป็นบานประตูที่จะเปิดออกไปเจอกับอะไรต่างๆมากมายซึ่งเรามีประตูให้เลือกหลายบาน แต่คนเหล่านั้นอาจจะหาประตูไม่ได้เลยหนทางที่จะออกสู่โลกกว้างก็คือต้องกระแทกกำแพงออกไป ซึ่งก็ต้องแลกมากับความเจ็บช้ำทางร่างกายและก็ไม่รู้ว่าข้างหลังกำแพงมันเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่หรือเหวลึกกันแน่
จะมีคนอยู่ 2 กลุ่มในระบบเศรษฐกิจ เราเรียกกลุ่มแรกว่า ‘ผู้ชนะ’ ซึ่งเป็นคนที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่อีกกลุ่มคือ ‘ผู้แพ้’ ซึ่งคนกลุ่มนี้ พบว่า รายได้ของตัวเองไม่ได้โตตามเศรษฐกิจ ประเด็นสำคัญก็คือ ในช่วงแรก ๆ ที่สังคมเกิดความเหลื่อมล้ำ ‘ผู้แพ้’ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ใครใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขากลับมองความเหลื่อมล้ำในแง่ดี นั่นเป็นเพราะพวกเขาคิดว่า ในอีกไม่ช้า รายได้ก็คงจะเพิ่มขึ้นเหมือนกับคนอื่นๆ (ขอเวลาอีกไม่นาน!) นั่นแปลว่า พวกเขาสามารถอดทนต่อความเหลื่อมล้ำได้ อย่างไรก็ตาม หากจนแล้วจนรอดความเหลื่อมล้ำก็ยังสูงลิ่ว ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนยังคงมีมากและดูเหมือนจะห่างมากขึ้นกว่าเดิม ความอดทนดังกล่าวก็จะเริ่มหมดลง ผู้แพ้จากสนามแข่งขันก็จะเริ่มส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย เริ่มคิดว่าการแข่งขันมันไม่แฟร์ มีการส่งสัญญาณเพื่อแสดงความไม่พอใจ เมื่อพบว่าตัวเองไม่ใช่คนเดียวที่ต้องทำงานหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินมาอย่างยาวนาน ท้ายที่สุดนำไปสู่การรวมกลุ่มเพื่อประท้วง ก่อจลาจล เกิดเป็นความขัดแย้งทางการเมือง ร้ายแรงเข้าก็กลายเป็นสงคราม ซึ่ง Hirschman เรียกจุดจบของการพัฒนานี้ว่า ‘Development Disaster’
ผมเชื่อว่าไม่ว่าเราจะเป็นใครบนโลกใบนี้ เราย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าจะมากจะน้อยลึกๆแล้วเราย่อมมีบางอย่างที่ขาดหาย หรือ บกพร่องไป ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง.. ผมมองว่าจริงๆแล้วนั่นคือ ‘balance’ หรือ ‘สมดุล’ ที่ธรรมชาติพยายามรักษาไว้
หรือหากจะมองตามหลักปรัชญา ก็คงหนีไม่พ้น ‘หยิน-หยาง’ ปรัชญาจีนแต่โบราณ ที่บอกกลายๆว่าตามธรรมชาตินั้น ในความดีก็มีความชั่ว และในความชั่วก็มีความดี ไม่มีใครที่เพอร์เฟคไปเสียทุกอย่าง
ค่านิยมต่างๆที่เกิดขึ้นจากฝีมือคน กรอบระเบียบ และชนชั้นทางสังคม สิ่งเหล่านี้ที่เป็นตัวทำให้ ‘โลก’ นั้นไม่ยุติธรรม ไม่ใช่ธรรมชาติ..
คนต่างหากที่ไม่เคยยุติธรรม..
ของกิน ของใช้ เงินตรา ชนชั้น วรรณะ รวย จน ขาว ดำ โง่ ฉลาด ผู้ชาย ผู้หญิง เพศทางเลือก ชนชาติ ภาษา การศึกษา การงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่คนเรานั้น ‘ตีค่า’ กันขึ้นมาเองทั้งสิ้น เราสร้างกรอบของวัฒนธรรม (norm) กำหนดบรรทัดฐานของความดีและความเลวขึ้นมาครอบ ดูถูก เหยียดความเป็นตัวตนของผู้อื่น ใครที่ไม่เหมือนเรา เราก็มองว่าไม่เข้าพวก เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิด ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ของสังคมมากขึ้นทุกวัน
เราเอาสิ่งที่เราตีค่าไปเองว่าเป็น ‘ข้อด้อย’ ของผู้อื่น มาแบ่งแยกความเป็นมนุษย์?
ถึงวันนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เป็นรากฐานของความขัดแย้งในสังคมไทย เพียงแต่ว่ามุมมองของความเหลื่อมล้ำนี้แตกต่างกันไปตามสถานะและชนชั้น
ความเหลื่อมล้ำทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางรายได้หรือความมั่งคั่งเป็นความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจซึ่งอาจวัดค่าได้ หรืออย่างน้อยก็พยายามที่จะวัดได้ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ไทยยังมีความเหลื่อมล้ำอีกหลายด้านที่อาจจะวัดได้ยากกว่าหรือวัดไม่ได้เลย ตั้งแต่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสาธารณะ ความเหลื่อมล้ำด้านทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิและโอกาส ตลอดจนความเหลื่อมล้ำทางการเมือง
ดังนั้น การที่มนุษย์คนหนึ่งจะตัดสินใจอย่างมีจริยธรรมได้ นอกจากความสามารถในการจินตนาการถึงความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นๆ แล้ว เขายังจะต้องพยายามพาตนเองออกจากเงื่อนไขทางสังคมที่อาจนำมาซึ่งอคติต่างๆ ด้วย เพื่อให้เกิดมุมมองที่เป็นกลางมากที่สุด
ในบริบทความคิดเช่นนี้ เพื่อนมนุษย์ที่ต่างก็ควรได้รับโอกาสมีชีวิตที่ดี ก็ยังคงเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสังคมในหลายประเทศอยู่ต่อไป
Aotto