สะกดรอยเซียน VI ลงทุนช่วงดัชนีหุ้น ปรับแรง
ดัชนีหุ้นไทยนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้วถึงปัจจุบันปรับตัวขึ้นกว่า 176 จุด หรือบวก 11.29% โดยเฉพาะเดือนมิถุนายนเดือนเดียวปรับขึ้นร้อนแรงกว่า 6.8% “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ “อนุรักษ์บุญแสวง” หรือ “โจ ลูกอีสาน” หนึ่งในนักลงทุนคุณค่า (VI) ซึ่งมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นนานกว่า 20 ปี จากเงินลงทุนเริ่มต้น 5 หมื่นบาท ปัจจุบันมีพอร์ตลงทุนหลายร้อยล้านบาท ต่อมุมมองตลาดหุ้นในขณะนี้...
ตลาดหุ้นปรับขึ้นมาพอสมควร ดัชนีหุ้นต่างชาติ ดาวโจนส์ ก็ทำนิวไฮ ซึ่งการลงทุนของผมจะตรงข้ามกับคนอื่น คิดว่าตอนนี้ควรจะถือเงินสดไว้บ้าง เพราะปัจจัยในประเทศไม่ค่อยดีนัก ผมกังวลเรื่องบาทแข็งจะกระทบภาคส่งออก และการท่องเที่ยวซึ่งจะเกี่ยวพันกับรากหญ้า ผลกระทบจะค่อยๆเกิดยิ่งเฟดมีโอกาสสูงจะลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ บาทก็จะยิ่งแข็งค่า
“ที่ห่วงคือการเข้าไปซื้อตอนนิวไฮ ผลลัพธ์จะออกมาไม่สวย นักลงทุนไทยจะขาดทุนจากตรงนี้กันมาก เพราะไม่รู้อย่างเช่นหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีตัวใหญ่ ก็จะไม่รู้กันว่าวัฏจักรอยู่ตรงช่วงปลายขาขึ้น ซึ่งผมคอนข้างระวัง ในอดีตผมผ่านมา 20 ปี จะมีหุ้นกลุ่มร้อนแรงตลอดเวลา ก่อนหน้าก็เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน หรือปีที่แล้วก็เป็นหุ้นกลุ่มความสวยความงาม ขณะนี้ก็มีหุ้นโรงไฟฟ้าขนาดกลาง ๆ GULF (บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์), BGRIM (บี.กริม เพาเวอร์) หรือหุ้นโรงไฟฟ้าบางตัวไม่ไปไหน คนไม่รู้ว่ามีระเบิดเวลาอยู่ อยากให้หลีกเลี่ยง “หุ้นที่ร้อนแรง” ไว้เลยเพราะสุดท้ายมักจบไม่สวยตายทุกราย ศาสตร์เหล่านี้ต้องใช้เวลาเรียนรู้นาน”
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นเวลานี้ยังมีหุ้นหลายตัวที่น่าสนใจ มีสตอรีและไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเช่นมีผลิตภัณฑ์หรือสัญญาใหม่ที่สร้างรายได้ในอนาคตได้แน่นอน หรือบางตัวแค่ปรับโครงสร้างธุรกิจไปทำอย่างอื่นก็มีกำไรแล้ว ต้องไปศึกษาเป็นรายตัว
อนุรักษ์ เล่าว่าปกติเขาจะลงทั้ง 100% ในหุ้นทั้งหมด แต่2-3 เดือนที่ผ่านมา เริ่มถือเงินสดประมาณ 15-16% ของพอร์ต เพราะโอกาสการลงทุนในจังหวะนี้อาจไม่ชัดเจน ส่วนอีก 8-10% จะลงในตลาดหุ้นต่างประเทศราว 20 ตัว ที่เหลือจะกระจายในตลาดหุ้นไทยถือราว 55 ตัว และในระยะยาวจะเพิ่มพอร์ตลงทุนในต่างประเทศเป็น 10-20%แทนในการลงในหุ้นไทย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากบาทแข็งค่า
“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผมซื้อเป็นกองทุนดัชนี หุ้นขึ้นก็ขึ้นตาม เหมาะสำหรับคนทั่วไปเพราะการที่รายย่อยจะไปลงทุนเองโอกาสทำกำไรยากกว่า”
ผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนในปีนี้ อนุรักษ์คาดจะดีกว่าตลาดหุ้นโดยรวม หลัง 6 เดือนแรกให้ผลตอบแทนดีกว่า ต่างจากปีที่แล้วที่เขาขาดทุน 12-13% ขณะที่ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยติดลบ10.8%
ทั้งนี้หุ้นที่เขาถือเป็นตัวแรกและลงทุนค่อนข้างมากถือมาจนถึงทุกวันนี้ คือบมจ.ช.การช่าง (CK)ส่วนหุ้นที่ถือสัดส่วนไม่ น้อยกว่า 0.5% มีทั้งสิ้น 12 ตัว จำนวนนี้เป็นหุ้นขนาดเล็กในตลาด MAI 5ตัว
“ผมจะถนัดกลุ่มนี้ (หุ้นใน MAI) ถือประมาณ 5 -7 ตัว แล้วแต่จังหวะ เสน่ห์ของหุ้นเล็กคือรวยกว่าแน่นอน เพราะหุ้นเล็กโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายและทำกำไรสามารถทำได้เร็วกว่าหุ้นตัวใหญ่บางตัวกิจการใช้เวลา 2 ปีก็ขึ้นไป 100% แต่ด้านหนึ่ง หุ้นเล็กจะมีความเสี่ยงสูงกว่าและได้รับผลกระทบก่อน ผมจะลงใน TPCH (บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์โฮล ดิ้ง) มากหน่อย เพราะมีความแน่นอนจากคำสั่งซื้อไฟฟ้า 15 ปี 20 ปีที่แน่นอน ส่วน ABM (บมจ.เอเชีย ไบโอแมส) มาร์เก็ตแคปอาจเล็กสุดในตลาด แต่ได้ผ่านจุดแย่สุดตั้งแต่ไตรมาส 1 ส่วน D (บมจ.เดนทัล คอร์ปอเรชั่น) มีสตอรีการเทิร์นอะราวด์ ระยะยาวแนวโน้มธุรกิจคาดจะดีขึ้น”
อนุรักษ์ กล่าวทิ้งท้าย แนะหลักการลงทุนว่า ควรเลือกหุ้นที่ พี/อี ไม่เกิน 10 เท่า ถือว่าปลอดภัย ที่สำคัญคุณภาพการทำกำไรของบริษัทต้องยั่งยืนเติบโตสมํ่าเสมอ 10% ต่อเนื่องทุกปี และมีเงินปันผลตอบแทนระดับ 5% โดยหุ้นที่สามารถให้แคปปิตอล เกน ดีกว่าถึงจุดหนึ่ง ผลตอบแทนปันผลก็จะตามมาเองตามขนาดของพอร์ตที่ใหญ่ขึ้น
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก