ห้องเม่าปีกเหล็ก

ไพ่เด็ดที่จีนใช้เขย่าบัลลังก์มหาอำนาจ

โดย มูซาซิ
เผยแพร่ :
71 views

Rare Earth: ไพ่เด็ดที่จีนใช้เขย่าบัลลังก์มหาอำนาจ | Podcast Available

 

ในบรรยากาศที่อึมครึมของเศรษฐกิจโลก สปอตไลท์ทุกดวงกำลังสาดส่องไปยังกรุงลอนดอน ที่ซึ่งคณะผู้แทนการเจรจาการค้าจากสองมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดของโลกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน กำลังจะเผชิญหน้ากันอีกครั้ง หลายคนอาจคิดว่านี่เป็นเพียงภาคต่อของสงครามกำแพงภาษีที่เคยปะทุขึ้นจนร้อนระอุไปทั่วโลก แต่หากมองให้ลึกลงไป การต่อรองครั้งนี้ มีอาวุธทางยุทธศาสตร์ที่ทรงพลังและซับซ้อนกว่านั้นซ่อนอยู่ อาวุธที่จีนเป็นผู้กุมไว้เกือบทั้งหมด และกำลังใช้มันเป็นไพ่เด็ดเพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ... อาวุธนั้นคือ "แร่หายาก" (Rare Earths) ค่ะ

วันนี้ เราจะมาคลี่ไพ่ทีละใบ เจาะลึกถึงแก่นว่าทำไมแร่ธาตุธรรมดาๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ ถึงกลายเป็นศูนย์กลางของอำนาจในศตวรรษที่ 21 และเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้แต่มหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ยังต้องหวั่นไหว

 

 

 

ไขปริศนา "แร่หายาก" - เส้นเลือดใหญ่แห่งโลกเทคโนโลยี

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับพระเอกของเรื่องนี้กันก่อน คำว่า "แร่หายาก" นั้นอาจทำให้เข้าใจผิดไปบ้าง แท้จริงแล้วแร่ในกลุ่มนี้ซึ่งประกอบด้วยธาตุ 17 ชนิด เช่น นีโอไดเมียม (Neodymium), ดิสโพรเซียม (Dysprosium), หรืออิตเทรียม (Yttrium) นั้นมีกระจายอยู่ทั่วโลก แต่สิ่งที่ทำให้มัน "พิเศษ" คือความยากลำบากอย่างยิ่งยวดในการสกัดให้ได้แร่บริสุทธิ์และแปรรูปเพื่อนำไปใช้งาน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มีต้นทุนมหาศาล และที่สำคัญคือสร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก

ความสำคัญของมันอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่าเป็น "วิตามิน" ของโลกสมัยใหม่ค่ะ หากขาดไป อุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั้งระบบก็อาจจะล้มป่วยหรือถึงขั้นพิการได้ ลองนึกภาพตามนะคะ

 

สมาร์ทโฟนในมือคุณ ที่มีหน้าจอสีสันสดและสั่นใสได้ ก็เพราะแร่หายาก

 

รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังจะเปลี่ยนโลกการคมนาคม มีมอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลังได้ ก็เพราะแม่เหล็กที่ทำจากแร่หายาก

 

กังหันลมที่ผลิตพลังงานสะอาด ก็ต้องพึ่งพาส่วนประกอบจากแร่หายาก

 

และที่สำคัญที่สุดในมุมของความมั่นคง ยุทโธปกรณ์ที่ล้ำสมัย ตั้งแต่เครื่องบินรบ, ระบบนำทางขีปนาวุธ, ไปจนถึงแท่งควบคุมในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ล้วนต้องพึ่งพาแร่หายากทั้งสิ้น

มันคือเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงนวัตกรรมและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของโลกยุคใหม่ และใครก็ตามที่ควบคุมเส้นเลือดนี้ได้ ก็ย่อมมีอำนาจต่อรองมหาศาล

 

ป้อมปราการของจีน - การผูกขาดเชิงยุทธศาสตร์ที่ใช้เวลาสร้างหลายสิบปี

และผู้ที่ควบคุมเส้นเลือดใหญ่นี้ไว้ได้อย่างเกือบเบ็ดเสร็จ ก็คือ "จีน" นั่นเองค่ะ

ตัวเลขที่น่าตกใจคือ จีนมีส่วนแบ่งในการผลิตแร่หายากที่ผ่านการแปรรูปแล้วสูงถึง เกือบ 70% ของผลผลิตทั่วโลก นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของยุทธศาสตร์ชาติที่ยาวนานหลายทศวรรษ จีนยอมแลกกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมมหาศาลเพื่อสร้างความได้เปรียบนี้ขึ้นมา จนทำให้อุตสาหกรรมแร่หายากในประเทศอื่นๆ ทยอยล้มหายตายจากไปเพราะไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้

แต่สิ่งที่ทำให้ไพ่ใบนี้อันตรายอย่างแท้จริง คือวิธีที่จีนใช้มันเป็นเครื่องมือ จีนไม่ได้ใช้วิธีการทื่อๆ อย่างการตั้งกำแพงภาษี แต่ใช้กลไกที่แยบยลและสร้างความปั่นป่วนได้มากกว่า นั่นคือ "ระบบใบอนุญาตส่งออก" ที่เปรียบเสมือนเขาวงกตทางราชการที่ซับซ้อนและขาดความโปร่งใส ทำให้รัฐบาลปักกิ่งสามารถบีบหรือคลายการส่งออกได้ตามความต้องการทางการเมือง เหมือนกับการคุมวาล์วน้ำของโลกไว้ในมือ

ภาพของการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตแม่เหล็กรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศในช่วงที่สงครามการค้าครั้งก่อนกำลังร้อนระอุนั้น ไม่ใช่แค่การตรวจเยี่ยมธรรมดา แต่มันคือการส่งสารเชิงสัญลักษณ์ไปทั่วโลกว่าจีนพร้อมที่จะใช้อาวุธนี้หากจำเป็น

และมันก็ได้ผลจริงๆ... ผลกระทบได้กระจายไปทั่วโลกเหมือนแรงกระเพื่อมในน้ำ เราได้เห็นข่าวที่โรงงานของ Ford ในสหรัฐฯ ต้องหยุดการผลิตชั่วคราวเพราะขาดแคลนชิ้นส่วน หรือแม้แต่ในอินเดีย ที่ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าออกมาโอดครวญว่ากำลังจะหมดสต็อกชิ้นส่วนสำคัญจากจีน นี่คือการแสดงให้เห็นถึงพลังทำลายล้างทางเศรษฐกิจที่จีนสามารถปลดปล่อยออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

 

ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสหรัฐฯ - การพึ่งพาที่เจ็บปวด

ฟากฝั่งของสหรัฐฯ เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง การพึ่งพาคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ในวัตถุดิบที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติถือเป็นฝันร้ายที่กลายเป็นจริง แม้จะตระหนักถึงความเสี่ยงนี้มานานหลายปี แต่การจะสร้างซัพพลายเชนของตัวเองขึ้นมาทดแทนนั้นเปรียบเหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขาค่ะ

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ประกาศเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่งว่าจะต้องสร้างซัพพลายเชนแร่หายากที่ครบวงจรตั้งแต่เหมืองไปจนถึงแม่เหล็กให้ได้ภายในปี 2027 แต่ผู้เชี่ยวชาญมองว่านั่นเป็นเป้าหมายที่แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ เพราะสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวง

ทั้งการขาดแคลนวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ, แหล่งแร่ในประเทศที่ไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ และการที่บริษัทเอกชนไม่สามารถแข่งขันกับราคาที่ถูกกว่าของจีนได้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนประเมินว่าสหรัฐฯ อาจต้องใช้เวลา "เป็นสิบปี" กว่าจะลดการพึ่งพาจีนได้อย่างมีความหมาย

ความเจ็บปวดของสหรัฐฯ ยิ่งทวีคูณเมื่อแรงกดดันของจีนไม่ได้แค่ส่งผลกระทบแค่โดยตรง แต่ยังผ่านพันธมิตรที่สำคัญอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกที่ต้องพึ่งพาแร่หายากจากจีนเช่นกัน หากจีนบีบประเทศเหล่านี้ ก็เท่ากับเป็นการบีบซัพพลายเชนของสหรัฐฯ ทางอ้อมไปด้วย

 

กระดานหมากรุกแห่งศตวรรษที่ 21

ดังนั้น การเจรจาที่ลอนดอนในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อรองเรื่องภาษี แต่เป็นฉากหนึ่งของ "สงครามซัพพลายเชน" ที่มีความมั่นคงของชาติและอนาคตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเป็นเดิมพัน สหรัฐฯ ต้องการให้จีนเปิดวาล์วแร่หายากอีกครั้งเพื่อต่อลมหายใจให้กับอุตสาหกรรมของตน ขณะที่จีนก็ต้องการให้สหรัฐฯ ยกเลิกการปิดกั้นการเข้าถึงเทคโนโลยีชิป AI และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่นๆ

เรื่องราวของแร่หายากคือบทเรียนสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าภูมิทัศน์แห่งอำนาจโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว การควบคุมทรัพยากรและซัพพลายเชนได้กลายเป็นเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังไม่แพ้กำลังทหาร และเกมกระดานนี้ยังอีกยาวไกลนัก ผลลัพธ์จากการเจรจาที่ลอนดอนจะเป็นเพียงการเดินหมากอีกหนึ่งตา บนกระดานที่ซับซ้อนซึ่งจะกำหนดทิศทางของโลกไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าค่ะ

 

 

ทีมาเนื้อหาจาก.. Beauty Investor


มูซาซิ