เปิดโผ 2 หุ้นเด่น ของแรงแห่งปีได้ดีเพราะโควิด-19 ระบาด
ธีมการลงทุนสัปดาห์นี้คงไม่พ้นหุ้นที่ได้ประโยชน์-หุ้นเสียประโยชน์จากการระบาดของ Covid-19 รอบใหม่ สำหรับบทความนี้ Wealthy Thai ได้หยิบหุ้นเด่น 2 ตัวที่ Performance โดดเด่น นั่นคือหุ้นถุงมือยางพาราอย่างบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT และหุ้นโบรกเกอร์ประกันอย่างบริษัท ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TQM มาฝากนักลงทุน!
โดยความเคลื่อนไหวราคาหุ้น STGT ช่วงเช้าวันที่ 24 ธ.ค.63 ราคาหุ้นอยู่ที่ 74.00 บาท ปรับลดลง 1.50 บาท หรือลดลง 1.99% ทั้งนี้ถ้าดูราคาหุ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (22 พ.ย.-21 ธ.ค.63) พบว่า ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 2.08% ราคาหุ้นตั้งแต่เข้าเทรด (2 ก.ค.63) ถึงปัจจุบัน ปรับเพิ่มขึ้น 116.18%
ส่วนหุ้น TQM ช่วงเช้าวันที่ 24 ธ.ค.63 ราคาหุ้นอยู่ที่ 128.50 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 6.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 5.33% ทั้งนี้ถ้าดูราคาหุ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา (22 พ.ย.-21 ธ.ค.63) พบว่า ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น 7.39% และราคาหุ้นต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ปรับเพิ่มขึ้น 87.12%
สำหรับหุ้น STGT นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด ประเมินว่า การระบาดของ Covid-19 ทำให้ความต้องการใช้ถุงมือยางพาราเพิ่มขึ้น บวกกับปัจจุบันหุ้น STGT และ STA มี Valuation ที่น่าสนใจเข้าลงทุน โดยแนะนำซื้อ STGT ราคาเป้าหมาย 130 บาท และ STA ราคาเป้าหมาย 50 บาท ทั้งนี้ถ้าย้อนไปดูบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง จะเห็นว่านักวิเคราะห์เชียร์ซื้อ STGT มาตลอดทาง พิสูจน์ได้จากกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 4,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นการทำนิวไฮติดกัน 2 ไตรมาส จากความต้องการใช้ถุงมือยางพาราจากการระบาดของ Covid-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ดีมานด์เพิ่มอีก 50% จากคู่แข่ง Top Glove ต้องหยุดผลิตชั่วคราว
ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า หุ้น STGT กำลังจะกลายเป็นหุ้นปันผล หรือ Dividend Stock เนื่องจากมองว่าแนวโน้มการล็อคดาวน์ในหลายประเทศ ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาส 4/63 อาจจะทะลุ 6,300 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) หรือเพิ่มขึ้น 30 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ทั้งนี้ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ผลิตใน sectorเดียวกัน STGT ถือว่ามีความได้เปรียบกว่า Top Glove ที่มีฐานการผลิตหลักอยู่ในมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรง ทำให้โรงงานกว่า 50% ต้องหยุดการผลิตชั่วคราว กว่าจะกลับมาผลิตได้ต้องรอ 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า STGT จึงน่าจะได้อานิสงส์ทางอ้อม ซึ่งประเมินว่าความต้องการของตลาดจะพุ่งขึ้นสูงในช่วงท้ายปี ประเมินความต้องการใช้ถุงมือยางพารา ไตรมาส 4/63 เพิ่มขึ้น 50% และไตรมาส 1/64 อีก 10%
คาดทำนิวไฮอีกในไตรมาส 4
ด้านนักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ไตรมาส 4/63 น่าจะเป็นอีกไตรมาสที่ STGT จะทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยประเมินกำไรปกติที่ 7,734 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% QoQ และเพิ่มขึ้น 5,510% YoY ส่วนในไตรมาส 1/64 ประเมินแนวโน้มกำไรที่ระดับ 8,000-10,000 ล้านบาท จากราคาขายที่คาดปรับขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 10% QoQ ขณะที่ไตรมาส 2/64 อาจเห็นระดับ 10,000 ล้านบาทขึ้นไปได้ จากปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น เพราะคาดว่าสถานการณ์ขาดตู้สินค้าจะคลี่คลาย ปัจจุบันบริษัทมีการล็อคราคาขายแล้วถึงเดือน ก.พ. แม้ว่าลูกค้าต้องการล็อคราคายาวถึงสิ้นปี แต่บริษัทมองว่าราคาถุงมือยางยังมีโอกาสปรับขึ้นได้จากความต้องการในตลาด
อย่างไรก็ตามต้นทุนการผลิตมีโอกาสปรับขึ้นได้เช่นกันหากล็อคราคาถุงมือยางพาราเร็วเกินไป ทำให้บริษัทเสียโอกาส โดยมองว่ามีโอกาสที่ราคาถุงมือยางอาจปรับลงได้ หากมีวัคซีนแต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปโดยมอง EPS ในระยะยาวที่ปีละ 10 บาท เพราะดีมานด์ยังมากกว่าซัพพลาย เพียงแต่ดีมานด์ส่วนเกินอาจลดลง ขณะที่ ซัพพลายใหม่ คาดว่ายังต้องใช้เวลาถึงปี 2565 เป็นอย่างน้อย จึงจะสร้างโรงงานและขอมาตรฐานส่งออกแล้วเสร็จ และอาจอยู่รอดในระยะยาวยาก เพราะขาดประสบการณ์ ขาด Economy of scale
TQM ยังคงทะยานต่อ หยวนต้าให้ราคาเป้าหมาย 148.5 บาท
ส่วนหุ้นโบรกเกอร์ประกันอย่าง TQM นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า ฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง COVID-19 ส่งผลให้บริษัทสามารถต่อยอดด้วยการทำ Cross Selling และ Upselling โดยการเสนอผลิตภัณฑ์ประกันอื่นๆ ที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งจาก SALEFORCES และระบบ Data Analysis ของบริษัท เพื่อให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มมากที่สุด นอกจากนี้ TQM ยังเป็น “บริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยขนาดใหญ่” เป็นอันดับ 1 ในไทย มีเบี้ยประกันผ่านบริษัทสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทกว่า 40 แห่ง ทำให้มีผลิตภัณฑ์ประกันที่หลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และอยู่ระหว่างกระบวน Digital Transformation โดยการลงทุนและพัฒนาระบบ Digital Platform ของบริษัทให้สามารถให้บริการแก่ลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งยังมีแผนขยายช่องทางขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของระบบ Omni Channel ของบริษัทเอง และการขยายเครือข่ายพันธมิตรอย่าง TJN, BANNIA และ FSMART อีกทั้งมีการขยายบริการไปยังประเทศกัมพูชาและลาวผ่านการลงทุนใน JV ร่วมกับพันธมิตร
สำหรับทิศทางไตรมาส 4/63 ประเมินว่า TQM จะมีกำไรสุทธิประมาณ 177 ล้านบาท โต 4.1%QoQ จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ เนื่องจากเป็นช่วงที่ลูกค้าเข้ามาต่อประกันมากกว่าปกติ และคาดโต 17.1%YoY หนุนด้วยฐานลูกค้าที่ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว บวกกับบริษัทมีการเพิ่มช่องทางขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคาดปรับขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้ SG&A/Sales อ่อนตัวลงเหลือ 23.8% จาก 28.2% หนุนให้ทั้งปี 2563 คาดจะมีกำไรสุทธิ 689 ล้านบาท โต 35.8%YoY
ส่วนปี 2564 คาด TQM จะมีกำไรสุทธิราว 833 ล้านบาท โต 20.9%YoY หลังได้อานิสงส์บวกจากการฟื้นตัวของเบี้ยประกันตามภาวะเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึง Awareness ในการทำประกันภัยของคนไทยที่ เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการเกิดโรคระบาด นอกจากนี้คาดจะเริ่มเห็นผลจากการเพิ่มช่องทางขาย ใหม่ทั้งความร่วมมือกับ FSMART และ TJN ชัดเจนขึ้นตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดยังทรงตัวใน ระดับสูง เนื่องจากลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อประกันผ่าน Digital Platform มากขึ้น จึงแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมาย 148.50 บาท
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก