KTC ดิ่ง 15% ภายใน 2 สัปดาห์ ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 1 ปี หลังกระแสข่าว ธปท.จ่อออกเกณฑ์คุมเข้มการใช้บัตรเครดิต จับตากระทบเป้าหมายกำไรหรือไม่ ขณะที่โบรกฯ ยังมองแง่บวก ช่วยยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ พร้อมเชียร์ ซื้อ สวนทางราคาหุ้น
ราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ร่วงลงต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จาก 130.5 บาท ลงมาปิดที่ 111 บาท ทำจุดต่ำสุดในรอบ 1 ปี โดยล่าสุดหุ้น KTC ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก กดให้ราคาหุ้นดิ่งลง 7.5% ภายใน 1 วัน
KTC ประกอบธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ธุรกิจบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทบัญชี ค(3) การให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดผ่านทางเครือข่าย และประเภทบัญชี ค(5) การให้บริการรับชำระเงินแทน
ก่อนหน้านี้ กำไรของ KTC เติบโตมาต่อเนื่องทุกปี จาก 1,282 ล้านบาท เมื่อปี 56 เพิ่มขึ้นเป็น 1,754 ล้านบาท ในปี 57 ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็น 2,072 ล้านบาท และล่าสุดยังเติบโตขึ้นมาเป็น 2,494 ล้านบาท ในปี 59
ส่วนแนวโน้มกำไรในปี 60 นี้ "ระเฑียร ศรีมงคล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KTC คาดว่ากำไรปีนี้จะเติบโต 10% จากสินเชื่อบุคคลที่เติบโตดี แต่ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีโอกาสต่ำกว่าเป้าหมายที่ 15% หลังไตรมาส 1/60 ทำได้เพียง 8% แต่ก็ยังสูงกว่าอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 3.9%
ด้วยการเติบโตที่ผ่านมา หนุนให้ราคาหุ้นของ KTC ช่วง 1 ปีกว่ามานี้ เป็นขาขึ้นต่อเนื่อง โดยราคาหุ้นวิ่งจาก 80 บาท ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 156.50 บาท ฉะนั้นการที่ราคาหุ้นร่วงลงมากว่า 40% ทำให้นักลงทุนหลายคนเริ่มมองโอกาสในการเข้าซื้อ เพียงแต่ว่าพื้นฐานของบริษัทจะยังเป็นเช่นเดิมหรือไม่?
ปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดัน KTC ในเวลานี้ เกิดจากประเด็นที่ ธปท. มีแผนจะเข้าไปดูแลการก่อหนี้ครัวเรือนให้อยู่ในระดับเหมาะสม โดยอาจจะออกเป็นประกาศถึงบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งล่าสุดยังไม่ได้มีการประกาศใดๆ ออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงแต่มีกระแสข่าวว่าอาจจะประกาศออกมาในช่วงกลางเดือน ก.ค. นี้
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) มองว่า มาตรการควบคุมกระทบทั้งอุตสาหกรรมทั้งทางดีและร้าย ซึ่งจากข่าวที่ทาง ธปท. อาจจะออกมาตรการควบคุมจำนวนบัตรเครดิตที่ประชาชนถือไม่ให้เกิน 3 ใบ และยอดการปล่อยสินเชื่อไม่เกินกว่า 3 เท่าของเงินเดือน โดยในขณะนี้ยังไม่มีการออกมาตรการใด ๆ ออกมาเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น โดยหากออกมาจะกระทบกับผู้ประกอบการทุกราย ส่วน KTC นั้นมีค่าเฉลี่ยวงเงินที่ปล่อยให้กับลูกค้าประมาณ 3.5 เดือน
อย่างไรก็ตามมาตรการนี้หากออกมาจริงจะส่งผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของผู้ประกอบการทุกราย แต่ก็จะช่วยยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรมให้ดีขึ้นด้วยทั้งนี้ ยังคงเป้าหมายการเติบโตของ KTC ไว้ที่ 18% โดยคาดกำไร 2.9 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 2494.71 ล้านบาท ซึ่งไตรมาส 1/60 บริษัทมีกำไร 733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% พร้อมคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 148 บาท
ด้าน บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/60 มีโอกาสจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก แต่จะยังเติบโตดีจากปีก่อน เพราะฐานที่ต่ำ โดยการอ่อนตัวของจากไตรมาสแรก เป็นผลจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้น บวกกับยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตไม่มาก เมื่อรวมกับแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อจะอ่อนแอลงตามปัจจัยฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว และโรงเรียนปิดเทอม
มูลค่าหุ้น KTC ในปัจจุบันดูเหมือนจะถูกลงค่อนข้างมาก ล่าสุดค่า P/E ลดลงมาเหลือ 11 เท่า จากปลายปีก่อนที่ 14.89 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนขยับขึ้นมาเกิน 3% เพียงแต่ว่า ราคาหุ้นที่ลดลงนี้จะเป็นเพียงความกังวลชั่วคราว หรือเกิดจากพื้นฐานที่กำลังจะเปลี่ยนไป
|