ห้องเม่าปีกเหล็ก

mindset ตลาดหุ้นไทย

โดย น้ำพริกปลาทู
เผยแพร่ :
51 views

อย่าเล่นหุ้นด้วยหู และ mindset ตลาดหุ้นไทย

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้ขอพักเรื่องตัวเลขหนักๆ มาคุยกันเรื่อง "จิตวิทยาการลงทุน" ที่เห็นภาพชัดที่สุดจากตลาดช่วงเดือนพฤศจิกายน 2025 นี้กันค่ะ (ดูจากรูปที่แนบมาประกอบนะจ๊ะ)

เห็นกราฟในรูปไหมคะ? นี่คือศิลปะแห่งความผันผวนที่ไม่ได้เกิดจาก "พื้นฐานธุรกิจ" เปลี่ยน แต่เกิดจาก "อารมณ์ตลาด"ล้วนๆ หรือที่วงการเราเรียกกันว่า Market Sentiment นั่นเองค่ะ

ดังนั้นวันนี้ขอจั่วหัวแรงนิดนึงนะ "อย่าเล่นหุ้นด้วยหู... เพราะเวลาพัง มันไม่ได้พังที่หู แต่มันพังที่พอร์ต"

 

เมื่อ "หู" นำ "สมอง" : วัฏจักรแห่งความย้อนแย้ง

ลองไล่ดูไทม์ไลน์ในภาพนะคะ มันตลกตรงที่ว่า ในระยะเวลาแค่ 2 สัปดาห์ (7-21 พ.ย. 2025) เรื่องราวหรือ Narrative ของตลาดเปลี่ยนไปมาเหมือนคนเป็นไบโพลาร์

วันที่แท่งเขียวพุ่งปรี๊ด หูเราก็ได้ยินว่า "AI ของแท้มาแล้ว! นี่คืออนาคต!" เราก็รีบกระโดดเกาะรถไฟไปกับเขาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่พอผ่านไปไม่กี่วัน กราฟแดงดิ่งลงเหว เสียงในตลาดเปลี่ยนทันทีเป็น "AI Bubble! ฟองสบู่แตกแน่ๆ!" ไอ้เราที่เพิ่งซื้อไปเมื่อวานก็ขาสั่น รีบคัทลอส (Cut loss) ออกมาแทบไม่ทัน

ยังไม่จบค่ะ พอขายหมูไปปุ๊บ กราฟเด้งกลับมาเขียวอีกรอบ พร้อมข่าวใหม่ "เฟดจะลดดอกเบี้ย! AI แม่งของจริง!" อ้าว... สรุปเมื่อกี้เรากลัวอะไร? แล้วพอกราฟแดงอีกรอบ ก็กลับมาวนลูปเดิมว่า "NVDA ของเก๊ เฟดไม่ลดดอกแล้ว"

นี่แหละค่ะคืออาการของการ "เล่นหุ้นด้วยหู" คือการตัดสินใจซื้อขายโดยอิงจากข่าวลือ กระแส หรือเสียงเชียร์รอบข้าง โดยไม่ได้กลับมาดูที่ Valuation (มูลค่าที่แท้จริง) ของกิจการเลยแม้แต่น้อย

 

Mindset หุ้นไทย vs ตลาดโลก : เลิกเอาไม้บรรทัด "เจ้ามือ" ไปวัด "Wall Street"

ข้อนี้ขอพูดตรงๆ นะคะ… ปัญหาใหญ่ของนักลงทุนไทยที่ข้ามไปเทรดหุ้นนอก คือเราชอบพก "ชุดความคิดแบบตลาดหุ้นไทย" ใส่กระเป๋าไปด้วย

เราชินกับตลาดที่มูลค่าไม่ใหญ่มาก ที่มักจะมี "เสี่ย ก." หรือ "แก๊ง 3 โมง" คอยทำราคา พอเราเห็นหุ้นเทคฯ สหรัฐฯ ร่วงแรงๆ เราก็เผลอุทานออกมาว่า "โดนเจ้าทุบ!" หรือ "เจ้าเทของ!"... พักก่อนค่ะซิส

ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ Market Cap เขาใหญ่ระดับล้านล้านดอลลาร์ ใหญ่กว่า GDP ประเทศเราทั้งประเทศรวมกันหลายเท่า ไม่มี "เจ้ามือ" คนไหนในโลกจะมีเงินสดมากพอมานั่งทุบหุ้น Apple, Microsoft หรือ Nvidia เล่นตามใจชอบหรอกค่ะ ไม่ใช่ Delta นะ 

 

ราคาที่มันเหวี่ยง มันขับเคลื่อนด้วย Fund Flow ระดับโลก และ Macroeconomics ล้วนๆ ใครที่ยังนั่งดูกราฟแล้วด่าเจ้ามือในตลาดเมกา คือคุณกำลังหลงทางอยู่นะคะ

อีกเรื่องที่ต้อง Unlearn ด่วนๆ คือการเอา "หลักการ VI แบบไทยๆ" ไปจับหุ้น Growth ระดับโลก หลายคนติดนิสัยมองหาแต่หุ้น P/E ต่ำๆ ปันผลสูงๆ พอไปเจอหุ้น Tech ที่ P/E 40-50 เท่า ก็ร้องยี้ บอกว่า "แพงเกินพื้นฐาน" "ปั่นราคา" หารู้ไม่ว่า ตลาดอเมริกาเขาให้ค่ากับ Innovation และ Growth Potential มากกว่าสินทรัพย์ที่จับต้องได้

ถ้ามัวแต่รอ P/E 10 เท่าแบบหุ้นโรงไฟฟ้าบ้านเรา ชาตินี้คุณอาจจะไม่ได้แตะหุ้นเปลี่ยนโลกเลยก็ได้ค่ะ เลิกเอาไม้บรรทัดวัดตึกแถว ไปวัดตึกระฟ้าได้แล้วนะคะ สเกลมันคนละเรื่องกัน

 

วิธีแก้ : เปลี่ยนจาก "นักฟังข่าวลือ" เป็น "นักวิเคราะห์ระดับโลก"

ถ้าไม่อยากเป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ หรือเป็นเหยื่อของความผันผวน เราต้องเลิกใช้หู แล้วกลับมาใช้ "ตาและสมอง" ค่ะ

แยกแยะให้ออกระหว่าง Price กับ Value: ราคาหุ้น (Price) คือสิ่งที่ตลาดอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสียบอกเราในแต่ละวัน แต่มูลค่า (Value) คือสิ่งที่บริษัททำได้จริง กำไรเท่าไหร่ กระแสเงินสดเป็นยังไง ถ้าพื้นฐานบริษัทไม่เปลี่ยน แต่ราคาลงเพราะคนตกใจเฟด... นั่นอาจจะเป็นโอกาสทองในการช้อปของถูก ไม่ใช่เวลาขายหนีตาย

มีจุดยืน (Conviction) เป็นของตัวเอง: ก่อนซื้อหุ้นตัวไหน ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าซื้อเพราะอะไร? ซื้อเพราะเชื่อในเทคโนโลยี AI ระยะยาว? หรือซื้อเพราะแค่เห็นเพื่อนกำไร? ถ้าซื้อเพราะพื้นฐาน ต่อให้ตลาดจะตะโกนว่า "ของเก๊" แต่ถ้างบการเงินยังโต เราต้องกล้าที่จะถือ

เลิกเสพข่าวรายนาที: การจ้องจอและฟังข่าวทุกชั่วโมงจะทำให้เราเครียดและตัดสินใจผิดพลาด ลองถอยออกมาดูภาพใหญ่ (Big Picture) บ้างค่ะ ว่าเทรนด์โลกจริงๆ มันไปทางไหน ดอกเบี้ยเฟดมันเป็นแค่ปัจจัยระยะสั้น แต่ Innovation คือของจริงระยะยาว

 

สรุปส่งท้ายสวยๆ

การลงทุนที่ดี ต้องมีความสงบในจิตใจค่ะ อย่าให้กราฟแท่งเทียนรายวันมาปั่นหัวเราเล่นเหมือนของเล่น และอย่าเอาความเชื่อผิดๆ เรื่องการปั่นหุ้นมาปิดกั้นโอกาสในการเติบโตระดับโลก

ใครที่รู้ตัวว่ายังเล่นหุ้นด้วยหู หรือยังมองหาเจ้ามือในหุ้นเทคฯ ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่ เปิดใจศึกษาบริบทโลกดูนะคะ รับรองว่าพอร์ตจะเขียวสดใสขึ้น และสุขภาพจิตจะดีขึ้นเป็นกองเลยค่ะซิส

ปล. สรุปเมื่อคืนยันไว้ไม่หลุด 6,500 ตามที่เดาไว้นะคะ ก่อนที่สุดท้ายน่าจะมีคนยอมแพ้ตลาดเลยเด้งขึ้นมาเกือบ 1% ค่ะ

 

ที่มาเนื้อหา.. Beauty Investor


น้ำพริกปลาทู