SVR หุ้นไอพีโอธุรกิจอสังหาฯ
กำลังจะสร้างการเติบโต แบบ High Growth

.
ตลาดที่อยู่อาศัยจะมียอดขายเติบโตเติบโตที่ระดับ 5-7% ต่อปี โดยมีปัจจัยที่ส่งเสริมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจาก 1.กำลังซื้อมีแนวโน้มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในส่วนภาคท่องเที่ยวและการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น การเข้ามาลงทุนหรือทำงานในไทยของชาวต่างชาติจะดึงดูดกำลังซื้อต่างชาติและผลักดันให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาฟื้นตัวได้ และ 2.ความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะในส่วนของภาคการคมนาคมขนส่ง (อ้างอิงแบบไฟลิ่ง SVR)
.
ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสของ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR โดยคอลัมน์ NEXT IPO ประจำวันอังคาร Wealthy Thai จะพานักลงทุนมาทำความรู้จักกับ SVR ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยแนวราบประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม
.
สำหรับ SVR (ชื่อเดิม บริษัท สิวารมณ์ จำกัด) จดทะเบียนก่อตั้ง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1 ล้านบาท และ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565 มีทุนจดทะเบียน 510 ล้านบาท เป็นทุนชำระแล้ว 380 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทย
.
โดยกลุ่มครอบครัวมโนธรรมรักษา ภายใต้การบริหารงานของนายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษาเป็นผู้บริหารหลัก ซึ่งมีความชำนาญและประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ มาอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี
.
ทั้งนี้ปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบ้านแนวราบในจังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู และเทพารักษ์ ทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมบางปู และนิคมพัฒนา-จังหวัดระยอง และพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อกระจายความเสี่ยงในทำเลที่แตกต่างกันได้แก่ อำเภอศรีราชา-จังหวัดชลบุรี และอำเภอไทรน้อย-จังหวัดนนทบุรี ภายใต้ชื่อ “สิวารมณ์” หรือ “SIVAROM” ด้วยแนวคิด “Best Smart Living”
.
ขณะที่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากบริษัทมีความโดดเด่นด้านการออกแบบบ้าน รูปแบบโครงการ การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ในทุกแง่มุม
.
SVR มีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีวัตถุประสงค์การใช้เงิน 1. เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการตามแผนธุรกิจและแผนการตลาด 2.เพื่อใช้ในการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นแก่บุคคลอื่น และบริษัท สิวารมณ์ ไชน่า จำกัด (SVC) ในส่วนที่เป็นส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม และ3.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
.
SVR พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์หลัก 5 แบรนด์ ได้แก่ 1. สิวารมณ์ ซิตี้ ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป ทำเลที่ตั้งต่างจังหวัด ราคาประมาณ 1.70 - 3.00 ล้านบาทต่อยูนิต 2.สิวารมณ์ วิลเลจ ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ตั้งแต่ 25,000 บาทขึ้นไป ทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้า ราคาประมาณ 2.50 - 5.00 ล้านบาทต่อยูนิต
.
3.สิวารมณ์ เนเจอร์ พลัส ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป ทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งอำนวยความสะอาด ราคาประมาณ 2.30 - 5.90 ล้านบาทต่อยูนิต 4. สิวารมณ์ ปาร์ค ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ตั้งแต่ 40,000 บาทขึ้นไป ทำเลที่ตั้งขานเมือง ราคาประมาณ 3.50 – 4.30 ล้านบาทต่อยูนิต และ 5.สิวารมณ์ แกรนด์ ที่เน้นกลุ่มลูกค้ารายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เน้นบรรยากาศโครงการที่เป็นส่วนตัว ประเภทโครงการบ้านเดียว ราคาประมาณ 4.60 – 6.20 ล้านบาทต่อยูนิต
.
ส่วนปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท ได้แก่ กลุ่มผู้พักอาศัยบริเวณจังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดระยอง และพื้นที่บริเวณใกล้เคียง สำหรับพนักงานระดับกลาง จนถึงระดับผู้บริหาร และเจ้าของกิจการ หรือกลุ่มครอบครัวที่ขยายขนาดครอบครัว กลุ่มคนต่างถิ่นที่เดินทางมาทำงานในพื้นที่
.
รวมทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านหลังที่สองสำหรับอยู่อาศัย หรือซื้อเพื่อการลงทุน โดยแบบบ้านและรูปแบบโครงการจะตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่ตามแนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากกระแสชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่ทำให้ผู้ซื้อหันมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นที่เอื้อต่อการทำงานที่บ้านมากขึ้น บ้านแนวราบในทำเลชานเมืองได้รับความนิยมสูง
.
นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ SVR กล่าวว่า จากดีมานด์ที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความต้องการสูง ส่งผลให้วางกลยุทธ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อที่อยู่อาศัยแนวราบทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง
.
โดยบริษัทฯมุ่งเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัย บนพื้นที่ขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ เพื่อให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ซึ่งจากกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้ทุกโครงการสามารถจำหน่ายได้หมด ภายใน1 ถึง 3 ปี
.
ด้าน นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส SVR กล่าวว่าหากพิจารณางบผลการดำเนินงานของบริษัทฯจะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยงวด 9 เดือนแรกปี 2565 มีรายได้ 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท
.
ขณะที่ปี 2564 มีรายได้ 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท, ปี 2563 มีรายได้ 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาท และปี 2562 มีรายได้ 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะเดียวกันอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำ โดย ณ 9 เดือนแรกปี 2565 D/E เพียง 1.39 เท่า และบริษัทได้กำหนดนโยบายการดำรง D/E ก่อน IPO 3:1 และหลัง IPO 2:1
.
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า จากศักยภาพความแข็งแกร่งที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถาการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สามารถสะท้อนให้เห็นถึงรายได้และกำไร ที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงแนวโน้มการเติบโตผลการดำเนินงานของบริษัท มีโอกาสก้าวสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่องในอนาคต ภายใต้การขยายการลงทุนและพัฒนาโครงการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคต