ห้องเม่าปีกเหล็ก

6 แนวคิดการเงินไม่รู้ไม่ได้แล้ว จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก

โดย คนเล่นหุ้น
เผยแพร่ :
63 views

6 แนวคิดการเงินไม่รู้ไม่ได้แล้ว
จากหนังสือ พ่อรวยสอนลูก

 

แนวคิดที่ 1: คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน

สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างคนรวย และคนจน คือ คนจนจะทำงานเพื่อได้เงิน แต่คนรวยจะทำงานเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ เมื่อได้เงินมาจึงนำเงินไปต่อยอดซื้อหรือสร้างทรัพย์สินสะสมไว้
และเมื่อทรัพบย์สินตัวเองงอกเงยจนสร้างกระแสเงินสดมากพอ ก็จะใช้ทรัพย์สินเหล่านั้นผลิตเงินมาทำงานแทน

แต่สำหรับคนจนที่ไม่รู้จักการหาความรู้และทักษะทางการเงินนั้นก็คงต้องทำงานต่อเรื่อย ๆ ตลอดชีวิต

เรื่องที่ต้องรู้คือ ความรู้เรื่องการเงินเป็นสิ่งที่ต้องเรียนกันตลอดชีวิต
โดยเราต้องเริ่มจากการมีทัศนคติที่ถูกต้องต่อตัวเงิน
เช่น ถ้าเราเชื่อว่าการมีเงินเยอะเป็นเรื่องไม่ดี หรือคนรวยขี้โกง
เราก็คงจะเกลียดเงินเยอะอยู่วันยังค่ำ

นอกจากนี้เราต้องรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง อย่าให้อารมณ์มาทำให้เราพูดเรื่องแย่ ๆ ออกไป ซึ่งจะส่งผลต่อทัศนคติเรื่องเงินของเรา
แต่เราควรใช้เหตุผลไตร่ตรองความคิดและทัศนติเรื่องการเงินอย่างรอบคอบ

 

แนวคิดที่ 2: จงหมั่นเพิ่มพูนความรู้ทางการเงิน

โดยส่วนมากแล้ว ความรู้ทางการเงินที่ถูกต้อง ไม่มีสอนในโรงเรียน
เพราะโรงเรียนมักจะสอนให้เราเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และเข้าทำงานโดนเป็นฟันเฟืองในองค์กรขนาดใหญ่ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ประเทศ
การเงินจึงอาจเป็นเรื่องที่ต้องเรียนกันเอาเอง

ความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งคือ คนที่หารายได้มาก ไม่ใช่คนรวย
เพราะแม้จะมีรายได้มาก แต่ถ้าไม่รู้จักบริหารเงิน หรือเอาไปต่อยอดลงทุน เงินที่มีก็จะไม่งอกเงย
หรือบางคนมีรายได้มาก แต่มีหนี้สินมากกว่า ก็ไม่มีทางมีอิสรภาพทางการเงินได้
การมีเงินมาก ๆ จึงไม่ได้สำคัญเท่ากับการรู้จักรักษาเงินให้อยู่กับเราตลอดไป
ดังนั้นแล้ว ถ้าอยากรวย เราต้องหาความรู้ทางการเงินให้ครบทุกด้าน รวมถึง การหารายได้, การใช้จ่าย, การลงทุน และการเก็บออม

อีกคอนเซ็ปต์สำคัญที่เราต้องรู้คือ ความแตกต่างระหว่าง ‘ทรัพย์สิน’ และ ‘หนี้สินง
- ทรัพย์สิน คือ เงินที่ไหลเข้ากระเป๋า
- หนี้สิน คือ เงินที่ไหลออกจากกระเป๋า

คำถามคือ แล้วบ้านคืออะไร ระหว่างหนี้สิน หรือทรัพย์สิน
คำตอบคืออาจเป็นไปได้ทั้ง 2 ข้อ
โดย
- บ้านจะเป็นทรัพย์สิน ก็ต่อเมื่อ บ้านสร้างกระแสเงินสดให้ไหลเข้ากระเป๋าเรา
เช่น เรานำบ้านไปปล่อยเช่า
- แต่บ้านจะเป็นหนี้สิน ก็ต่อเมื่อ บ้านสร้างแต่กระแสเงินสดออกจากกระเป๋าเรา
เช่น เราอยู่อาศัยเอง แล้วต้องผ่อนเงินกู้จากธนาคารอยู่เรื่อย ๆ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในกรณีหลัง บ้านจะกลายเป็นทรัพย์สินในมุมมองของธนาคาร ไม่ใช่ในมุมมองเรา
การแยกให้ออกว่าสิ่งใดคือหนี้สิน หรือทรัพย์สิน เป็นสิ่งสำคัญมาก

ทีนี้ เราสามารถนำทรัพย์สิน และหนี้สินมาแจกแจงความแตกต่างระหว่าง คนจน, คนชั้นกลาง และคนรวย
โดย
1. กระแสเงินสดของคนจน – ตรงไปตรงมามาก เงินเดือนไหลเข้ามาแล้วไหลออกไปกับรายจ่าย ค่ากิน ค่าอยู่ และภาษี
ไม่มีเงินเก็บมาถึงช่องทรัพย์สินและหนี้สิน

2. กระแสเงินสดของคนชั้นกลาง – คนชั้นกลางมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย ทำให้เขามีกระแสเงินไหลเข้ามาในช่องทรัพย์สินและหนี้สิน แต่สุดท้ายเงินก็ไปกองอยู่ในช่องหนี้สินเสียหมด เมื่อเขาซื้อบ้าน ซื้อรถ และผ่อนบัตรเครดิต

3. กระแสเงินสดของคนรวย – คนรวยไม่มีเงินเดือน แต่จะใช้ช่องทรัพย์สินผลิตเงินออกมาเป็นรายได้อัตโนมัติในทุกเดือน
โดยทรัพย์สินดังกล่าว ก็ไล่ตั้งแต่ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุน และทรัพย์สินทางปัญญา
ส่วนรายได้ ก็ไล่ตั้งแต่ เงินปันผล ดอกเบี้ย ค่าเช่า ค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ การที่คนรวยเอารายได้ที่ผลิตได้ กลับไปลงทุนในช่องทรัพย์สินให้ผลิตเงินออกมาอย่างต่อเนื่องต่อไป

 

แนวคิดที่ 3: จงหมั่นเพิ่มพูนทรัพย์สิน และลองสร้างธุรกิจเป็นของตัวเอง

แม้ผู้เขียนจะสนับสนุนให้ทุกคนลองทำธุรกิจของตัวเองดู
แต่ก็ไม่ได้บอกว่าต้องลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจโดยทันที
หลายคนสามารถเรียนรู้การทำธุรกิจไปได้พร้อมทำงานประจำ

และเหตุผลเพราะว่าผู้เริ่มต้นทำธุรกิจใหม่กว่า 9 ใน 10 ล้วนล้มเหลว
การทำงานประจำควบคู่กันไปอาจปลอดภัยกว่า

อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายทางเลือกที่ผู้เขียนแนะนำนอกจากการทำธุรกิจ
เพราะว่าเป้าหมายจริง ๆ ของการทำธุรกิจก็คือ การหาเครื่องผลิตเงิน หรือการสร้างทรัพย์สินให้งอกเงยเรื่อย ๆ
อย่าให้เงินไหลออกมาจากช่องทรัพย์สิน
แต่มีข้อดีคือจะเกิดกระแสเงินสดไหลเข้ามาก

ส่วนตัวเลือกอื่น ๆ ก็เช่น
- การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อปล่อยเช่า
- การลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) และกองทุน เพื่อเงินปันผล
- ทรัพย์สินทางปัญญาอื่น ๆ เช่น สิทธิบัตร หรือลิขสิทธ์เพลง และงานเขียนต่าง ๆ

จงจำไว้ว่า คนรวยซื้อความสบายทีหลัง แต่คนชั้นกลางซื้อความสบายก่อน
คนรวยนำเงินไปสร้างทรัพย์สินชิ้นใหญ่จนได้รายได้กลับมา แล้วจึงนำรายได้ดังกล่าวนั้นไปซื้อความสบายในภายหลัง

 

แนวคิดที่ 4: เข้าใจที่มาของภาษี และบริหารภาษีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แม้ภาษีจะถูกคิดค้นมาเพื่อนำเงินรวยไปกระจายให้คนจน
แต่สุดท้ายแล้ว คนรวยที่ฉลาดทางการเงินจะไม่ยอมให้ภาษีเข้ามาลดรายได้ของตัวเองอย่างฮวบฮาบ
คนพวกนี้จะรู้วิธีบริหารภาษี

โดยวิธีหนึ่งที่ผู้เขียนแนะนำคือ การลงทุนในรูปแบบนิติบุคคล
เพราะเมื่อโดนเก็บภาษี เราจะสามารถนำรายจ่ายทางธุรกิจมาหักเพื่อลดหย่อนภาษีต่อเนื่องการลดหย่อนภาษีส่วนบุคคล
นอกจากนี้แล้วคนรวยยังสามารถจ้างทนายเก่ง ๆ มาช่วยดูแลลดหย่อนภาษีอย่างถูกกฎหมายได้อีกด้วย

นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากคนจนและคนชั้นกลาง ที่มักถูกเก็บภาษีแบบเต็มจำนวน เพราะภาษีถูกหักไปก่อนที่จะได้รับเงินเดือนแล้ว
เรื่องสิทธิในการขอคืนภาษีก็มีอยู่จำกัด

อย่างไรก็ตามเรื่องภาษีเป็นเรื่องที่ทุกคนควรหมั่นหาความรู้ใส่ตัวไว้ เพราะเป็นสิทธิที่ทุกคนพึงมี

 

แนวคิดที่ 5: คนรวยสร้างเงินเองได้

การสร้างเงินเองได้ในที่นี้หมายถึง การลงมือเปลี่ยนไอเดียที่มีให้กลายเป็นกระแสเงินสด
นั่นก็คือการใช้ไอเดียช่วยแก้ปัญหาให้คนอื่น

ฟังดูแล้วอาจตรงไปตรงมา แต่การจะทำแบบนี้ได้ ต้องอาศัยความกล้าอย่างมาก
ซึ่งในชีวิตจริงแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนฉลาด แต่เป็นคนกล้า
คนกล้าที่จะลงมือทำไอเดียให้เกิดขึ้นจริง
และต้องมีไหวพริบทางด้านการเงินเพียงพอที่จะเปลี่ยนเงินก้อนเล็ก ให้เป็นเงินก้อนใหญ่

ไหวพริบทางการเงินประกอบไปด้วย 4 ทักษะใหญ่ ๆ นั่นคือ
1) ความสามารถในการอ่านตัวเลข งบการเงินทั้งหลาย
2) กลยุทธ์ในการลงทุน
3) ความเข้าใจตลาด ทั้งอุปสงค์และอุปทาน
4) ความเข้าใจกฎหมายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ รวมทั้งระบบบัญชี

 

แนวคิดที่ 6: ทำงานเพื่อเรียนรู้ – อย่าทำงานเพื่อเงิน

คนทั่วไปมักชอบเข้าใจว่า เราทำงานกันไปแค่เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
แต่สำหรับคนรวยนั้น เขาทำงานเพื่อเรียนรู้
การเรียนรู้ที่ว่านี้ไม่ใช่การเรียนรู้แบบสะเปะสะปะ หรือแค่เรียนให้เก่ง แบบเรียนในโรงเรียน
แต่มันคือการเรียนรู้ทักษะสำคัญในการหาเงิน

ความรู้ด้านการเงินพื้นฐาน เรื่องหลักและวิธีการลงทุน เรื่องความเข้าใจในการเลือกทรัพย์สิน การทำบัญชี ภาษี กฎหมายต่าง ๆ เรื่องระบบ รวมทั้งเรื่องคนและตลาด
ถ้าเราได้เรียนตั้งแต่ยังเด็กนับว่าคือความโชคดี
แต่ความรู้เหล่านี้ เราก็มาหาเพิ่มเอาตอนทำงานก็ยังได้
เพราะเมื่อทำงานเราก็จะมีประสบการณ์ขึ้น
สิ่งสำคัญจึงเป็นเรื่องการต่อยอดความรู้และทักษะที่มีเพื่อทำเงิน

 

ความรู้อีกเรื่องที่สำคัญ คือเรื่องการขาย
ผู้เขียนเองก็เคยลองไปทำงานเป็นพนักงานขายที่บริษัทซีร็อกซ์ ทั้ง ๆ ที่งานที่ทำอยู่ตอนแรกก็มั่นคงดีแล้ว
แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเพิ่มทักษะการขายทั้งสิ้น

ในตอนแรกนั้นผู้เขียนเองก็ขายของไม่ได้เลย
แต่เพราะการหมั่นเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ๆ
ไม่นานเขาก็ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็น Top Sale ของบริษัท
และยังมีทักษะติดตัวไปใช้ตอนลงทุนอสังหาริมทรัพย์อีกต่างหาก

ผู้เขียนยังเน้นย้ำถึงช่วงแรกที่เราอาจกลัวและขี้เกียจในการออกไปหาทักษะใหม่ ๆ
ลองคิดถึงการออกกำลังกาย ช่วงแรกเราอาจขี้เกียจออกกำลังกาย แต่พอออกเสร็จเราจะรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
มันคือความภูมิใจในตัวเองนั่นเอง


คนเล่นหุ้น