ห้องเม่าปีกเหล็ก

สิ้นสุดยุคมืด? สีจิ้นผิงหันมาหนุนบริษัทเทคฯ

โดย ตา กะ ยาย
เผยแพร่ :
134 views

สัญญาณฟื้นตัวธุรกิจเทคฯ จีน หลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง พบ “แจ็ค หม่า” และผู้ประกอบการชั้นนำ

ช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีเอกชนในจีนเจอ “มาตรการกวาดล้าง” หรือการกำกับดูแลที่เข้มข้นจากรัฐบาล แต่ตอนนี้นักลงทุนกำลังเชื่อว่าบรรยากาศเคร่งครัดดังกล่าวอาจกำลังจะสิ้นสุดลง หลังประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้จัดประชุมกับผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา, เหริน เจิ้งเฟย จากหัวเว่ย, เล่ย จุน จากเสียวหมี่ และ หวัง ซิง จากเมถวน เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา

นิคกี้จะมาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับภาคเทคโนโลยีจีนตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำไมนักลงทุนถึงมองว่าการกวาดล้างเทคฯ ใกล้จบรอบ และเพราะเหตุใดการง้อภาคเอกชนจึงสำคัญยิ่งสำหรับจีนในเวลานี้

มาตรการกวาดล้างเทคโนโลยีจีนเริ่มต้นอย่างไร

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อ แจ็ค หม่า วิพากษ์วิจารณ์ระบบการเงินและหน่วยงานกำกับดูแลของจีนบนเวทีหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ จนทำให้ทางการจีนยกเลิกการนำหุ้นเข้าตลาด (IPO) ของแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) แบบกะทันหัน ซึ่งเดิมทีเตรียมจะเป็น IPO ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น

ก่อนจะตามมาด้วยการตรวจสอบและออกมาตรการคุมเข้มในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การสอนพิเศษออนไลน์ วิดีโอเกม ฟินเทค ฯลฯ โดยได้กระทบบริษัทใหญ่ๆ เช่น Alibaba, Tencent, และ Didi จนทำให้มูลค่าหุ้นและผลประกอบการของหลายเจ้าได้รับผลกระทบหนัก

ช่วงนั้น ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในจีนหลายคนปรับตัวด้วยการก้าวถอยออกจากสปอตไลต์ และบริจาคเงินก้อนใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบาย “ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” (Common Prosperity) ของรัฐบาล

 

สัญญาณผ่อนคลาย: ทำไมนักลงทุนถึงมองว่าการกวาดล้างใกล้สิ้นสุด

แรงกระเพื่อมในตลาดหุ้น: ก่อนการประชุมกับประธานาธิบดีสี ไม่นาน ดัชนี Hang Seng Tech ในตลาดหุ้นฮ่องกงปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 สะท้อนความหวังว่ารัฐบาลจะ “ผ่อนมือ” จากมาตรการเข้มงวด

การประชุมเชิงสัญลักษณ์: ภาพประธานาธิบดีสี กำลังจับมือกับผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง แจ็ค หม่า และผู้บริหารระดับแนวหน้าคนอื่นๆ ถูกตีพิมพ์ผ่านสื่อรัฐอย่างเปิดเผย ถือเป็นสัญญาณทางการเมืองที่ทรงพลังว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น

 

นโยบายภาครัฐที่ปรับตัว:

- นับตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ทางการยอมให้ DiDi กลับมาเปิดรับผู้ใช้งานใหม่ได้อีกครั้งหลังแอปถูกถอดจากสโตร์

- กรณี Ant Group ก็ถูกปรับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1 พันล้านเหรียญ) เพื่อยุติการสอบสวนยาวนาน 3 ปี

- เดือนสิงหาคม 2024 ทางการตัดสินว่า Alibaba ได้ปรับปรุงพฤติกรรมทางการตลาดจนพ้นข้อกล่าวหาเรื่องผูกขาด

- เดือนกันยายน 2024 Alibaba ยอมให้ลูกค้าใช้ WeChat Pay ของ Tencent ที่หน้าเช็คเอาต์ โดยไม่บังคับเฉพาะ Alipay ของตนเองอีกต่อไป

ทั้งหมดนี้ชี้ว่า แม้ว่ารัฐบาลจะยังไม่มีการประกาศอย่างชัดเจนว่า “ยุติกวาดล้าง” แต่เริ่มแสดงท่าที “ผ่อนปรน” และสนับสนุนธุรกิจเอกชนให้กลับมาเป็นฟันเฟืองสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

ทำไมรัฐบาลจีนจึงต้องเปลี่ยนท่าที

1. เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงเป็นแหล่งจ้างงานและสร้างนวัตกรรมสำคัญ รัฐบาลต้องการให้เอกชนช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ หนี้รัฐบาลท้องถิ่น และปัญหาการว่างงานของคนรุ่นใหม่

2. ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics): จีนต้องการพัฒนาเทคโนโลยีเชิงยุทธศาสตร์อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชิปเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductors) ท่ามกลางการกีดกันทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ การจะพึ่งพารัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การสนับสนุนภาคเอกชนจึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

3. ตัวอย่างความสำเร็จ: ดีปซีค (DeepSeek) สตาร์ทอัพ AI สัญชาติจีน พัฒนาโมเดล AI แบบเปิด (Open-Source) ที่ท้าทายผู้พัฒนาระดับโลก และสามารถทำได้แม้ถูกจำกัดการเข้าถึงชิปขั้นสูงจากสหรัฐฯ รัฐบาลจึงเล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเอกชนยังมีศักยภาพสูง

 

สี จิ้นผิง พบผู้ประกอบการ: เนื้อหาสำคัญที่ส่งสัญญาณหนุนเอกชน

ยืนยันสนับสนุนภาคเอกชน: ในการประชุมวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสีให้คำมั่นว่าจะช่วยลดค่าธรรมเนียมและค่าปรับที่ “ไม่เป็นธรรม” พร้อมสร้างสนามการแข่งขันให้เท่าเทียมยิ่งขึ้น

กระตุ้นความเชื่อมั่น: ประธานาธิบดีสีให้กำลังใจผู้ประกอบการ “เชื่อมั่นในอนาคต” และเน้นว่าปัญหาที่พบเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” เท่านั้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไม่หยุดพัฒนาธุรกิจ

 

ผู้บริหารสำคัญที่เข้าร่วมงาน:

- แจ็ค หม่า (Alibaba)

- เหริน เจิ้งเฟย (Huawei)

- เล่ย จุน (Xiaomi)

- หวัง ซิง (Meituan)

- ม้า ฮว่าเถิง หรือ โพนี่ หม่า (Pony Ma) (Tencent)

- เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) แห่ง DeepSeek

- และผู้เล่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่าง บีวายดี (BYD) และ CATL

แม้ตลาดหุ้นจีนผันผวนในช่วงวันประชุม แต่นักวิเคราะห์มองว่านี่คือ “สัญญาณอันแข็งแกร่ง” จากผู้นำสูงสุด ที่ช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจเอกชน

 

จีนจะกลับไปสู่อดีตที่ “ไร้การกำกับ” หรือไม่

ยังคงกำกับเข้ม: รัฐบาลจีนยังคงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ยุค “สร้างความร่ำรวยอย่างสุดโต่ง” และ “ใช้ชีวิตหรูหรา” ของบรรดามหาเศรษฐีเทคฯ หวนคืนกลับมา

วางกรอบความคุมเข้มใหม่: ตั้งแต่การควบคุมข้อมูลผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล การป้องกันการแข่งขันแบบ “บีบคู่แข่ง” (เช่น บังคับให้เลือกจ่ายเงินผ่านระบบของตน หรือฮุบข้อมูลอย่างไม่มีขอบเขต) ไปจนถึงการวางข้อกำหนดด้านความปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity) เพื่อป้องกันความเสี่ยงระดับชาติ

โฟกัสเทคโนโลยียุทธศาสตร์: รัฐบาลให้ความสำคัญกับ AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง และเซมิคอนดักเตอร์ มากกว่าธุรกิจออนไลน์สไตล์ “คอนซูเมอร์” อย่างอีคอมเมิร์ซและเกม ชี้ว่าเทรนด์ในอนาคตของบริษัทใหญ่ๆ จะขยับไปทุ่มทุนในนวัตกรรมเชิงลึกมากขึ้น

 

แนวโน้มมูลค่าบริษัทเทคฯ จีน

ก่อนจะเกิดการกวาดล้างในปี 2020 Alibaba, Tencent และ Ant Group เคยมีมูลค่ารวมกันสูงถึงเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าบริษัทของรัฐยักษ์ใหญ่อย่าง ICBC เสียอีก

อย่างไรก็ตาม หลังการกวาดล้าง Alibaba สูญมูลค่าตลาดไปกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Tencent เสียไปกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบจากจุดสูงสุดราวช่วงก่อนปี 2021) แม้ทั้งคู่จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในปี 2022 แต่ก็ยังไม่กลับไปท็อปฟอร์มแบบอดีต

การพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ล่าสุดอาจทำให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้น แต่อาจจะไม่ถึงจุดที่เทียบเท่าช่วงพีก ก่อนภาครัฐเข้ามาควบคุมอย่างจริงจังค่ะ

 

ทางสองแพร่งระหว่าง “ปล่อยเสรี” และ “คุมเข้ม”

1. ภาคเอกชนยังจำเป็นต่อเศรษฐกิจจีน: ทั้งในแง่การจ้างงาน การสร้างนวัตกรรม และการช่วยรัฐบาลผลักดัน GDP

2. รัฐบาลไม่อยากเสี่ยงเสียเสถียรภาพ: จึงยังต้องรักษาการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมความผันผวน และลดการเกิดสังคมสองขั้ว (ความเหลื่อมล้ำ) อย่างรุนแรง

3. ทิศทางอนาคต: “ควบคุมแต่ให้เสรีภาพบางส่วน”: จีนจะเน้นส่งเสริมเทคโนโลยียุทธศาสตร์ เช่น AI และชิป มากกว่าจะหวังพึ่งธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือเกมอย่างเดียว

4. สัญญาณบวกต่อนักลงทุน: การประชุมที่มีประธานาธิบดีสีนั่งหัวโต๊ะ เป็นภาพยืนยันว่าจีนจะไม่ทอดทิ้งธุรกิจเอกชน แต่ความผ่อนคลายครั้งนี้จะมากหรือน้อย ต้องรอติดตามมาตรการเชิงรูปธรรม

ท้ายที่สุด การกลับมาของแจ็ค หม่า ต่อหน้าสาธารณชนเคียงข้างผู้นำสูงสุด ถือเป็นหมุดหมายที่บ่งบอกว่าจีนได้กลับมามองว่าภาคเอกชนเป็นพันธมิตรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสู้ศึกเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ต่อไป

แม้จะยังไม่ใช่ “กลับสู่ยุคทอง” แบบไร้การกำกับเหมือนในอดีต แต่สำหรับนักลงทุนทั่วโลก นี่คือสัญญาณว่าความเสี่ยงเชิงนโยบาย (Policy Risk) ต่อบริษัทเทคฯ จีนอาจ “ผ่อนคลาย” ลงจากช่วงก่อนอย่างมาก

 

ความเห็นส่วนตัวของนิคกี้

เคยมีคนถามนิคกี้เมื่อปีที่แล้วว่า ทำอย่างไรจีนถึงจะพลิกเศรษฐกิจได้ ตอนนั้นนิคกี้ได้ตอบไปว่า 1. อุ้มอสังหาฯ 2. ง้อบริษัทเทคฯ และ 3. ออกนโยบายการคลังที่ตรงจุด

ตอนนี้เราเริ่มเห็นจีนทำข้อ 1 โดยการเข้าไปอุ้มบริษัทอสังหาฯอย่าง China Vanke แล้ว และทำข้อ 2 โดยการตามง้อบริษัทเทคฯ ส่วนข้อ 3 ยังไม่ได้มีเห็นออกมา โดยเราน่าจะต้องไปรอลุ้นกันอีกทีในการประชุมใหญ่เดือนมีนาคม

ทำให้ ณ จุดนี้ ดูเหมือนว่า จีนกำลังแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้นแล้วค่ะ อย่างไรก็ตามการที่ตลาดหุ้นจีนจะกลับไปยิ่งใหญ่เหมือนเดิมนั้นยังคงห่างไกลอยู่ดี เพราะปัญหาเชิงโครงสร้างยังอยู่ และคงไม่ได้แก้ปัญหาได้ในเร็ววันนี้ โดยเราเห็นได้จากตลาดหุ้นที่เป็นแบบ K Shape

หรือพูดอีกแบบคือ หุ้นเทคฯจีน วิ่งขึ้นไปอยู่คนเดียวเลย และทอดทิ้งกลุ่มอื่นๆไว้เบื้องหลัง

นอกจากนี้เอง เรายังไม่ทราบว่าทรัมป์จะกลับมาทุบหุ้นจีนเมื่อไหร่ รวมถึง สี จิ้นผิง เองจะกลับมาทุบบริษัทตัวเองอีกหรือไม่หากสุดท้ายบริษัทเหล่านี้มีอำนาจสูงขึ้นจากการทำธุรกิจ AI เพราะสุดท้ายแล้ว เราต้องอย่าลืมนะคะว่า จีน ปกครองด้วยระบบอะไร และในระบบนี้นี่แหละที่จะไม่ยอมให้บริษัทเอกชนใหญ่กว่ารัฐบาลค่ะ

คำแนะนำยังเหมือนก่อนหน้านี้คือ Follow Buy หุ้นเทคฯ จีน ได้ แต่เป็นแบบเก็งกำไรเท่านั้น เฝ้าให้ดีๆ เพราะ ปรับตัวขึ้นมาบนโมเมนตัม แต่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้ตามมาด้วย ดังนั้นให้จับตา P/E ของหุ้นเหล่านี้เทียบกับ Big Tech ของสหรัฐฯให้ดีๆค่ะ

 

Big Tech FWD P/E

Apple 33.79x

Nvidia 47.21x

Meta 28.3x

Microsoft 30.9

Alphabet 20.4

Amazon 32.93

 

China Tech FWD P/E

BYD 25.06x

CATL 23.06x

Meituan 22.6x

Tencent 20.69x

Alibaba 14.33x

ปล. จีนน่าจะทำธุรกิจ AI ได้เป็นหลักแค่ในจีนเท่านั้น เพราะยังคิดว่ารัฐบาลของประเทศอื่นๆ น่าจะไม่ยอมให้ใช้ AI จีนแน่ๆ เพราะดันเล่นส่งข้อมูลกลับไปให้รัฐบาลจีน ส่วนจีนเองก็คงไม่ยอมให้คนจีนให้ AI ของสหรัฐฯ เช่นกันค่ะ ดังนั้น P/E ของทั้ง 2 ที่จะเทรดไม่เท่ากันแน่ๆค่ะ แต่จะต่างกันเท่าไหร่ คงต้องไปลุ้นกันเองคงต้องไปลุ้นกันเองคะ

 

ทีมา.. Facebook  Beauty Investor

 


ตา กะ ยาย