กนง.คาดเงินเฟ้อพุ่งสูงเกินกรอบเป้าหมาย นโยบายการเงินมุ่งฟื้นเศรษฐกิจ Policy Space มีข้อจำกัด
นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า ในช่วงต้นปี 2565 ได้มี 2 ปัจจัยที่เข้ามาส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ได้แก่ การแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron และ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ตามในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังสามารถรองรับได้ ขณะที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนที่จำกัดโดยส่วนใหญ่มากระทบกับราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบค่อยข้างมาก
“สถานการณ์ความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครนส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยโดยตรงที่จำกัด โดยส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบคือ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตามในแง่ของภาพรวมเศรษฐกิจไม่ได้เป็น game changer”
ส่วนในเรื่องของโอกาสที่มีเหลือสำหรับการดำเนินนโยบายการเงิน(Policy Space) นั้น ต้องยอมรับในข้อเท็จจริงว่า Policy Space สำหรับการใช้นโยบายการเงินของไทยมีไม่มากในปัจจุบัน และต้องมองในระยะปานกลางว่าแนวนโยบายจะปรับอย่างไรที่สามารถเสริมสร้าง Policy Space และฟื้นเศรษฐกิจด้วย
ด้านนายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 65 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดประมาณการ GDP ในปี 2565 ลงเป็น 3.4% และปรับลด GDP ในปี 2566 เป็น 4.7% นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราเงินเฟ้อ ในปี 2565 เป็น 4.9% และปี 2566 เป็น 1.7% โดยการปรับลด GDP เป็นผลมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนเป็นสำคัญ
“การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ได้แก่ 1. ปัญหา global supply disruption อาจรุนแรงกว่าที่คาด 2. ผลกระทบจากค่าครองชีพที่อาจสูงขึ้นมาก จนกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชน 3. การระบาดของไวรัสCOVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ปัจจัยที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้สูงกว่ากรณีฐาน คือ การใช้จ่ายของภาคเอกชนที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ชะลอการใช้จ่ายไปในช่วงก่อนหน้า (pent-up demand)”
นายสักกะภพ เปิดเผยว่า สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนไม่กระทบแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยรวม โดยผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ส่งผ่านมาทางช่องทางการค้าและตลาดการเงินยังมีจำกัด เนื่องจากไทยส่งออกไปรัสเซียในสัดส่วนน้อยเพียง 0.4% ของมูลค่าการส่งออกในปี 2564 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียยังมีสัดส่วนน้อยเพียง 4% ของจำนวนนักท่องเที่ยวโดยรวมในช่วงก่อนการระบาดของCOVID-19 ขณะที่เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังมีความเข้มแข็ง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ผลกระทบหลักผ่านเงินเฟ้อและการปรับขึ้นของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งกระทบต้นทุนสินค้าค่าครองชีพและกำลังซื้อในประเทศ รวมทั้งผ่านอุปสงค์ต่างประเทศที่จะชะลอลงกระทบต่อค่าครองชีพภาคครัวเรือนและต้นทุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น ครัวเรือนรายได้น้อย ที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง
นายสักกะภพ เปิดเผยต่อว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2565 จะยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมาย และอาจสูงเกินกว่าระดับ 5% ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2565 เนื่องจากผลของราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นมาก และการส่งผ่านต้นทุนในหมวดอาหารเป็นหลัก อย่างไรก็ตามผลดังกล่าวจะทยอยลดลงและทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-3% ได้ในปี 66
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีความเสี่ยงที่อาจสูงกว่ากรณีฐาน โดยปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้ออาจสูงกว่ากรณีฐาน มาจากปัญหา global supply disruption อาจรุนแรงกว่าที่คาด และผู้ประกอบการผู้ผลิตสินค้า อาจส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคมากกว่าที่ประเมินไว้ ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้ออาจต่ำกว่ากรณีฐาน มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจช้ากว่าที่ประเมินไว้
นายสุรัช แทนบุญ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในบริบทของเศรษฐกิจไทย เป็นผลจาก cost-push shocks โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสดเป็นหลัก ขณะที่ demand shocks ส่งผลไม่มากนัก โดยยังไม่เห็นราคาที่สูงขึ้นส่งผ่านไปยังสินค้านอกหมวดพลังงานและหมวดอาหาร
ทั้งนี้แม้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะ 1 ปีข้างหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นบ้าง แต่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลาง ยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ระดับ 1-3% และไม่อ่อนไหวตามความผันผวนของราคาระยะสั้น โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566 จากราคาพลังงานและอาหารที่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่องตามอุปทานน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น และปัญหาการขาดแคลนสินค้าโภคภัณฑ์ที่จะบรรเทาลง ขณะที่แรงกดดันด้านอุปสงค์ยังมีน้อย แต่จะทยอยเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในปี 2566
ในส่วนของการดำเนินนโยบายการเงินจะยังให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยสามารถมองข้ามผ่านอัตราเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นในช่วงนี้ได้ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องสื่อสารที่มาของอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นให้สาธารณชนได้เข้าใจ ทั้งนี้จะติดตามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ได้แก่ ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลก การส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจขยายวงกว้างและสร้างความไม่แน่นอนในระยะต่อไป โดยพร้อมใช้เครื่องมือ นโยบายการเงินที่เหมาะสมหากจำเป็น
“สำหรับเศรษฐกิจไทยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาจาก cost-push shocks โดยเฉพาะราคาพลังงานและอาหารสดเป็นหลัก ขณะที่ demand shocks ส่งผลไม่มาก โดยนโยบายการเงินไม่ได้ดูแลเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาจาก cost-push shocks ได้โดยตรง นอกจากนี้บทบาทของนโยบายการเงินต้องดูบริบทของเศรษฐกิจด้วยซึ่งปัจจุบันกนง. ยังให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก”