สัดส่วนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย
และแล้วตลาดหุ้นไทยก็มาถึงวันนี้ วันที่นักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุดเมื่อเทียบกับนักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ตามการจำแนกของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ช่วงเวลาเดือนครึ่งแรกของปี2562(1 ม.ค. – 15 ก.พ. 62)การซื้อขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนประมาณ 37.8% ในขณะที่นักลงทุนไทยทั่วไปซึ่งเคยครองอันดับหนึ่งมาตลอดนั้น ปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 37%
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน2559นักลงทุนไทยทั่วไป มีสัดส่วนถึง50-55%ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติ มีสัดส่วนประมาณ 25-28%เท่านั้น ที่เหลือเป็นนักลงทุนสถาบันประมาณ 11-13% และพอร์ตโบรกเกอร์ ประมาณ 10-12% ซึ่งปัจจุบันนี้ 2กลุ่มหลังก็ยังคงมีสัดส่วน 12-13% ไม่เปลี่ยนไปจากเดิม
จากสัดส่วนข้างต้น นักลงทุนต่างชาติจึงยิ่งมีอิทธิพลต่อการขึ้นลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยมากขึ้นกว่าในอดีตอีก ด้วยพฤติกรรมของนักลงทุนต่างชาติที่จะซื้อหุ้นที่มีขนาดใหญ่ มาร์เก็ตแคปสูง สภาพคล่องสูง จะไม่ค่อยซื้อขายหุ้นตัวเล็กๆ ซึ่งการเล่นหุ้นใหญ่เป็นหลักนี่เอง เมื่อซื้อขายแต่ละที จึงมีผลต่อดัชนีมากกว่าหุ้นตัวเล็ก
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติมักจะใช้หลักคิดวิเคราะห์ในการตัดสินใจซื้อหรือขายคล้ายๆ กัน เราจึงมักจะเห็นตัวเลขปรากฏอยู่เสมอว่า เวลาต่างชาติเข้าซื้อ ก็จะซื้อสุทธิต่อเนื่องกันหลายวัน แต่เวลาขายออก ก็จะเห็นตัวเลขขายสุทธิติดต่อกันหลายวันเช่นกัน ดังนั้น การซื้อขายของนักลงทุนต่างชาตินอกจากจะมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีในแต่ละวันแล้ว ยังมีผลต่อทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้นด้วย
สำหรับคนที่เล่นหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นหุ้นที่พอร์ตต่างชาติต้องมีแน่ๆ นอกจากจะวิเคราะห์ตัวหุ้นในเชิงของปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคแล้ว การดูทิศทางลม หรือทิศทางการลงทุนของต่างชาติ ก็จะทำให้เราตัดสินใจซื้อหรือขายได้ถูกจังหวะมากขึ้น
หากกระแสลมการลงทุนของต่างชาติกำลังถาโถมเข้ามา เราก็ควรเสาะหาหุ้นใหญ่ที่กำไรดี พีอีต่ำ ราคายังไม่แพง เก็บไว้ เพราะยังไงราคาต้องไปแน่ๆ แต่ถ้าช่วงไหนลมพัดหวนกลับไป ต่างชาติถึงจังหวะระบายของ เราก็ใช้จังหวะนั้นขายหุ้นใหญ่ออกไปก่อน
โดยในช่วงที่ต่างชาติยังไม่กลับมา นักลงทุนไทยก็ยังมีโอกาสหาหุ้นดีๆ สไตล์ไทยๆ ที่ต่างชาติเขาไม่สน หรือสนแต่ไม่สามารถซื้อได้ เพราะสภาพคล่องไม่สูงเพียงพอ…หุ้นพวกนี้แหละครับที่จะเป็นหลุมหลบภัยให้กับนักลงทุนรายย่อยของไทยได้
การลงทุนตามทิศทางและดักทิศทางของนักลงทุนต่างชาติอย่างที่ผมบอกนี้ อย่าคิดว่าจะทำกำไรแค่นิดๆ หน่อยๆ นะครับ ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว
ยกตัวอย่างหุ้น ปตท. (PTT)ช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นกรกฎาคม 2561 ถูกขายหนัก ทำให้ราคาลดลงจาก 59 บาท ลงไปที่ 45 บาท แต่หลังจากนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทย ราคาก็วิ่งกลับไปที่ 55 บาท เป็นการปรับตัวขึ้นกว่า 20% ในเวลาเพียง2เดือนเศษหลังจากนั้น
และด้วยสัดส่วนที่สูงของนักลงทุนต่างชาตินี่เอง ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อขายของต่างชาติจึงมีบทบาทมากกว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อนักลงทุนไทย
ยกตัวอย่างเช่น ความไม่นิ่งของการเมืองไทย อาจไม่ได้ทำให้คนไทยตื่นตระหนกตกใจมากนัก แต่สำหรับนักลงทุนต่างชาติแล้ว เขามองว่าเป็นความเสี่ยงที่สำคัญประการหนึ่ง เขาจึงจำเป็นต้องลดความเสี่ยงด้วยการลดพอร์ตหุ้น ดังจะเห็นได้จากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอย่างหนักในช่วงที่การเมืองไทยเริ่มสั่นไหวอีกระลอกแม้จะกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่24มีนาคม 2562 แล้วก็ตาม
และจากการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาตินี่เอง แม้ว่านักลงทุนสถาบันของไทยจะไล่ซื้อหุ้นมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่ทำให้ดัชนีวิ่งขึ้นเหมือนกับตลาดหุ้นอื่นๆ ได้
จากข้อมูลทั้งหมดนี้ คงจะพอทำให้เราเข้าใจเหตุผลของบรรดานักวิเคราะห์บางค่ายที่มองว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสวิ่งไปเหนือ1,700หรือ 1,800 จุดได้ในปีนี้
ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้มองที่แรงส่งจากนักลงทุนไทยหรอกครับ เขามองที่นักลงทุนต่างชาตินี่แหละ ว่าจะกลับมาลงทุนหุ้นไทยอย่างจริงจังอีกครั้งหากเรื่องราวทางการเมืองในไทยลงตัวแล้ว ในขณะที่ปัจจัยเรื่องสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจคลี่คลาย ดอกเบี้ยหยุดขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติทั้งสิ้น
ลงทุนปีนี้ หากจับทิศทางต่างชาติได้ดี ก็มีโอกาสที่จะชนะตลาดได้ครับ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก..