ห้องเม่าปีกเหล็ก

เจาะพื้นฐาน 3 หุ้นส่งออกของไทย

โดย ขบวนสุดท้าย
เผยแพร่ :
143 views

เจาะพื้นฐาน 3 หุ้นส่งออกของไทย

รับผลบวกจีนแบนอาหารทะเลญี่ปุ่น

.

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 66 เป็นวันแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเริ่มปล่อยน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะสู่มหาสมุทรแปซิฟิก สร้างความวิตกกังวลจากหลายฝ่ายว่าจะส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำหรือไม่ ซึ่งภายหลังการปล่อยน้ำเสียลงสู่ทะเลไม่นาน ทางการจีนและฮ่องกงได้ประกาศระงับการนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดจากญี่ปุ่น เนื่องจากกังวลความเสี่ยงของการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลบวกต่อหุ้นผู้ส่งออกอาหารทะเลของของไทย

.

โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า หลายประเทศในเอเชียต่างประณามญี่ปุ่นที่ปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ผ่านการบำบัดลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลรายใหญ่จากญี่ปุ่นประกาศระงับการนำเข้าอาหารทะเลทั้งหมดทันที เนื่องจากผู้บริโภคในจีนและฮ่องกงส่วนใหญ่รู้สึกหวั่นกลัวอาหารทะเลที่อาจจะปนเปื้อนนิวเคลียร์

.

ซึ่งมองเป็นบวกต่อผู้ส่งออกอาหารทะเลของไทยหลายราย เช่น TU, ASIAN, CPF ที่จะได้อานิสงส์ในการส่งออกอาหารทะเลไปยังจีนและฮ่องกง นอกจากนี้ยังมองว่าประเทศอื่นในแถบเอเชียเหนืออาจจะประกาศแบนอาหารทะเลจากญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีกด้วย

.

ทั้งนี้ผู้ประกอบการจะได้รับผลบวกเป็นปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ต้องรอติดตาม แต่ประเด็นข้างต้นนับเป็นจิตวิทยาต่อหุ้น TU, ASIAN และ CPF ดังนั้น Wealthy Thai จึงมีแนวโน้มการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของหุ้นทั้ง 3 ตัวมาอัพเดท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลงทุนให้กับแฟนเพจทุกคน

.

สำหรับ TU นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า มีมุมมองบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในระยะยาว โดยคาดกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวจากครึ่งปีแรก ขณะที่ปี 2567 จะกลับมาเติบโตจากปีนี้หลังจากปัจจัยกดดันหลักในปี 2566 ทั้งอุปสงค์ของลูกค้าชะลอตัวและราคาต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับสูงขึ้นถูกคลี่คลาย ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันที่ฟื้นขึ้นมามองว่ายังอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกที่จะคลี่คลายได้มากขึ้นในครึ่งปีหลัง ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 5,115 ล้านบาท ลดลง 28.34% จากปีก่อน

.

นอกจากนี้มองราคาหุ้นมี Downside risk จำกัด เนื่องจากสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติอยู่ในสถานะ Under-owned โดยมีสัดส่วนการถือครองที่เพียง 21% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 29% ทำให้ประเมินว่าหลังการจัดตั้งรัฐบาลใหม่สำเร็จ มีโอกาสที่การลงทุนจากต่างชาติจะกลับเข้ามามากขึ้น ในเชิงพื้นฐานคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 15.90 บาท

.

ส่วน ASIAN ฝ่ายวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ไว้อยู่ที่ 237 ล้านบาท ลดลง 75% จากปีก่อน และมียอดขายที่ 9,225 ล้านบาท ลดลง 17% จากปีก่อน โดยภาพรวมมองยอดขายจะทยอยฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ตามยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงที่เริ่มเห็นแนวโน้มออเดอร์มากขึ้นในปลายไตรมาส 3/66 จากสต็อกเก่าของลูกค้าที่ทยอยลดลง และยอดขายอาหารแช่แข็งเริ่มฟื้นตัวจาก VAP ที่สต็อกลูกค้าเริ่มทยอยลดลง โดยรวมจะส่งผลให้ Margin ทยอยฟื้นตัว จากสัดส่วนยอดขายกลุ่ม Margin สูงที่เพิ่มขึ้น เบื้องต้นมองกำไรไตรมาส 3/66 ยังคงติดลบจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากฐานสูงแต่จะทยอยฟื้นตัวบวกจากไตรมาสก่อนหน้า ตามอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารแช่แข็งที่เริ่มฟื้นตัว

.

โดยยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 9.5 บาท มองเป็นจุดน่าทยอยสะสมจากราคาหุ้นที่ปรับลงมามาก หลังผลประกอบการชะลอตัวในไตรมาสที่ผ่านมา ปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มยอดขายรวมทยอยฟื้นตัวได้ดี โดยเริ่มเห็นลูกค้ากลับมาออเดอร์อาหารสัตว์เลี้ยงในปลายไตรมาส 3/66 และอาหารแช่แข็งมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดขึ้น

.

และ CPF นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ยังเชื่อว่าผลการดำเนินงานของ CPF ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 2/66 และคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง เนื่องจากธุรกิจในประเทศไทยที่ชะลอลงจะถูกชดเชยด้วยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในเวียดนาม จีน และประเทศอื่นๆ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลงและแนวโน้มราคาหมูฟื้นตัว รวมถึงไตรมาส 3/66 ยังเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ

.

ฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดประมาณการปี 2566 ลงเป็นขาดทุน 4,425 ล้านบาท จากประมาณการเดิมที่คาดมีกำไร 2,680 ล้านบาท เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าคาดในครึ่งปีแรก รวมทั้งราคาหมูและไก่ในไทยที่ลดลงในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม ปรับคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 22.30 บาท โดยเชื่อว่าราคาหุ้นและผลการดำเนินงานได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

 

 


ขบวนสุดท้าย