ใครมีหุ้นสื่อสารควรอ่านครับ
ที่มา : Wattana Stock Page
TRUE ADVANC น่าจะประกาศตาม DTAC มาในท้ายที่สุด
10 ม.ค. 2562 / 22.54 น.
บทความนี้เกิดจากการพูดคุยกับนักวิเคราะห์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมหลังการประกาศข่าวที่ DTAC ตัดสินใจจ่ายเงิน 9 พันกว่าล้านบาทเพื่อเคลียร์ข้อขัดแย้งที่ค้างคากันมาในอดีตและที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เป็นคำถามอย่างมากว่า เกิดอะไรขึ้นกับ DTAC ที่อยู่ๆก็ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกับ CAT ส่วนใหญ่ในอดีตและที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นจำนวนเงินมากกว่า 9 พันล้านบาท
ซึ่งนักวิเคราะห์บอกว่า DTAC เป็นรายแรกที่ประกาศ และเชื่อว่าอีก 2 รายที่เหลือจะประกาศตามมา โดยคาดว่า TRUE จะเป็นรายต่อไป และ ADVANC น่าจะเป็นรายสุดท้าย
ที่เขามีมุมมองเช่นนี้ เนื่องจากว่า TRUE มีการแจ้งในการประชุมนักวิเคราะห์อยู่เสมอถึงความพยายามในการระงับข้อพิพาทในอดีตที่มีกับทั้ง TOT และ CAT และมีการแจ้งในการประชุมนักวิเคราะห์ถึงคาดการณ์ว่า น่าจะตกลงกันได้ภายในสิ้นปี 2561 (ปีที่แล้ว)
ในขณะที่ ADVANC ไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่คาดว่าในความเป็นจริงน่าจะมีการเจรจาต่อรองกันอยู่ แต่ว่าลักษณะการทำงานของ TOT ซึ่งเป็นคู่สัมปทานของ ADVANC นั้นค่อนข้างต่างกับ CAT รวมถึงความเขี้ยวของ ADVANC เองด้วย ทำให้คาดว่า ผลสรุปจะออกมาช้าที่สุด แต่ท้ายที่สุด ก็น่าจะต้องมีข้อตกลงเช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้น DTAC ในวันนี้
เรามาดูที่มาที่ไปของปัญหาที่เกิดขึ้นและนำมาซึ่งการประกาศของ DTAC ในวันนี้ก่อน
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างผู้ให้บริการภาคเอกชนกับคู่สัมปทานซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอย่าง TOT และ CAT นั้นมีมาแต่เนิ่นนานแล้ว
ต้นเหตุมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมสื่อสารของไทยตั้งแต่ยุค 2G ซึ่งมันก็เป็นเวลายาวนานเกินกว่า 10 ปีมาแล้ว
การแข่งขันกันอย่างหนักของ ADVANC ซึ่งเป็นคู่สัมปทานของ TOT กับค่ายอื่นซึ่งเป็นคู่สัญญาของ CAT ทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องการความได้เปรียบต่อคู่แข่งของตน
ไม่เพียงแค่เอกชนแข่งกันเอง แต่รัฐวิสาหกิจ 2 หน่วยงานก็เป็นคู่แข่งกันเองอยู่แล้วด้วย
การขอแก้ไขสัมปทานจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพื่อขอแก้ไขค่าส่วนแบ่งที่จ่ายให้กับหน่วยงานภาครัฐผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทาน จึงเกิดขึ้น เพื่อให้ได้เปรีบบคู่แข่งของตนในด้าน "ต้นทุน" โดยตัวแปรหลักอยู่ที่รายได้ที่ต้องจ่ายจากเลขหมายประเภท "เติมเงิน"
เมื่อรัฐวิสาหกิจหนึ่งยอมตกลงกับเอกชนที่เป็นคู่สัมปทานของตน มีหรือว่าค่ายที่เป็นคู่แข่งจะไม่ไปขอกับเจ้าของสัมปทานของตน
ท้ายสุดจึงเป็นที่มีของการเปลี่ยนแปลงสัญญาสัมปทานกันอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นยังมีสัญญาอื่นภายใต้สัมปทานที่มีการตกลงกันอีกอยู่หลายอย่าง
มีการกล่าวหาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรชิน (หรือ INTUCH) ในปัจจุบัน มีส่วนในการทำให้การแก้ไขสัมปทานเป็นไปอย่างราบรื่น จนเกิดการแก้ไขสัญญาของผู้ให้บริการมือถือทุกค่ายในที่สุด
การแก้ไขสัญญาสัมปทานตั้งแต่สมัยนั้น ทำให้เกิดเป็นปัญหาตามมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อการสิ้นสุดอำนาจของอดีตนายก ซึ่งทำให้เกิดการไล่ "เช็คบิล" ว่ามีการกระทำใดที่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตน และทำให้ภาครัฐ "เสียหาย" บ้าง
จึงทำให้เกิดการ "ฟ้องร้อง" ระหว่างเจ้าของสัมปทาน กับเอกชน ถึงการแก้ไขสัญญาสัปทานหลายต่อหลายครั้ง เพราะเป็นส่วนที่ทำให้รัฐ "เสียประโยชน์"
นอกจากนั้นยังเกิดความขัดแย้งกันในแทบจะทุกๆเรื่อง เช่นการใช้คลื่น การใช้เสา การแบ่งผลประโยชน์ การเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใดรายหนึ่ง
ทำให้เกิด "การฟ้องร้อง" เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดต่อหน่วยงานของรัฐ เป็นกรณีพิพาทที่ค้างเติ่งรอการตัดสินของศาลในที่สุด
ประเด็นข้อพิพาทเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่เคยกดดันหุ้นสื่อสารอยู่พักใหญ่ๆเลยทีเดียว ซึ่งเกิดขึ้นกับ "ทุกค่าย" ไม่ใช่เฉพาะค่ายใดค่ายหนึ่ง
มูลค่าความเสียหายที่ภาครัฐเรียกร้องนั้นก็มีมูลค่าสูงมากๆเป็นระดับหมื่นล้านบาท ซึ่งมันไม่ใช่มีแค่เรื่องเดียว มันหลายๆเรื่องรวมกันมันก็หลายหมื่นล้าน
แม้ในตัวงบการเงินจะไม่ได้มีการลงรายละเอียดเอาไว้ แต่ก็มีการเปิดเผยในหมายเหตุประกอบงบการเงิน รวมถึงในส่วนของคำชี้แจงผลประกอบการ
การตั้งสำรองเผื่อไว้นั้นมีการทำไว้บ้าง แต่เป็นจำนวนทีน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่เรียกร้องตามข้อพิพาท เพราะเอกชนทุกรายล้วนบอกว่า "ตนเองไม่ผิด"
เพราะในการทำงบการเงินนั้น บริษัทต้องขอความเห็นจากผู้สอบบัญชีอยู่แล้วว่า กรณีใดควรมีการตั้งสำรอง หรือไม่จำเป็นต้องตั้ง แต่หากบริษัทมีความเชื่อมั่นว่า ยอดที่เรียกร้องนั้นสูงเกินจริง หรือบริษัทไม่น่าจะแพ้คดี ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรอง
แต่ราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัท ไม่ว่าจะเป็น ADVANC DTAC TRUE ช่วงก่อนที่จะมีการประมูล 4G นั้น ได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดกัน "ทั้งๆที่ยังคงมีเรื่องข้อพิพาทเหล่านี้ที่ยังคงค้างคาอยู่"
อาจเป็นเพราะนักลงทุนรู้สึก "ชินชา" เพราะมันค้างคามานาน จนดูเหมือนจะไม่เกิดผลกระทบอะไรเสียแล้วกระมัง จึงได้เพิกเฉยต่อกรณีพิพาทที่มีมูลค่าการเรียกร้องหลายหมื่นล้านบาทที่ค้างเติ่งมายาวนานกว่า 10 ปี และดูเหมือนจะค่อยๆพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านพ้นไป
เพราะมันจะมีข้อพิพาทใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ อย่างเมื่อไม่นานมานี้ที่ TOT เรียกร้องค่าเสียหายจาก TRUE บนธุรกิจอินเตอร์เน็ตบ้าน เป็นมูลค่ามากกว่าหมื่นล้านบาท
แล้วทำไมอยู่ๆมันถึง "ต้องจบ"
จากการแชร์ความเห็นกับนักวิเคราะห์ ก็มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า นโยบายของรัฐที่ต้องการควบรวมหน่วยงาน 2 แห่ง คือ TOT และ CAT เข้าด้วยกัน นั้นน่าจะมีเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นความต้องการในการระงับข้อพิพาทที่ค้างอยู่ก่อนหน้านี้ และที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
เพราะหากมีการรวมหน่วยงาน 2 แห่งนี้จริงๆ ก็เหมือนการควบรวมกิจการของเอกชน จะต้องมีการนำเอาทรัพย์สินมารวมกัน ซึ่งทรัพย์สินที่จะนำมารวมกันได้นั้น จะต้อง "ปลอดข้อพิพาท" ใดๆทั้งสิ้น
เอกชนเองก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะจบ ไม่มีใครอยากเป็นคู่ขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐ เพราะเอาจริงๆนะ ท้ายที่สุดโอกาสชนะนั้นน้อยมาก ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เอกขนเองก็น่าจะมีการหาประโยชน์จากสัญญาและเบียดเบียนประโยชน์อันหน่วยงานของรัฐควรได้รับบางส่วนจริงๆ
การจบความขัดแย้งด้วยการตกลงเคลียร์ปมปัญหาส่วนใหญ่ในอดีต รวมถึงถึงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นทางออกที่ดีกับทั้งหน่วยงานของรัฐเอง รวมถึงเอกชนด้วย
อย่างเช่นที่ DTAC ยอมจ่ายวันนี้ 9 พันกว่าล้าน อาจจะดูมาก แต่ถ้าไปดูมูลค่าที่หน่ายงานรัฐเรียกร้องรวมๆกันแล้วก็มากกว่านี้หลายเท่าตัว
หากปล่อยให้ยืดเยื้อไปถึงชั้นศาล ไหนจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี และท้ายที่สุดยังไม่รู้ว่าจะต้องชดใช้เท่าไหร่ สู้มานั่งจับเข่าคุยกันดีกว่า
หน่วยงานของรัฐเองก็ได้เงิน (หลังจากที่สูญเสียรายได้ไปมหาศาลหลังการสิ้นสุดสัมปทาน) เอกชนเองก็ไม่ต้องพะวงถึงผลของคดีความที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
ในกรณีของ DTAC ผลกระทบที่เกิดกับราคาหุ้น ก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมิน นั่นก็คือ 4 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคาหุ้น DTAC ก็ปรับตัวลงมาราวๆนั้นในช่วงปิดตลาด
ในส่วนของ TRUE ซึ่งชี้แจงมาระยะหนึ่งแล้วว่าอยู่ระหว่างการเจรจาข้อพิพาทกับหน่วยงานของรัฐ นักวิเคราะห์จึงเชื่อว่า น่าจะต้องมีการเจรจาและประกาศจ่ายเงินก้อนเพื่อจบกรณีพิพาทแบบเดียวกับที่ DTAC ทำ ซึ่งคาดว่าน่าจะอีกไม่ช้านี้
แต่จากการที่ TRUE เองได้พูดเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้เชื่อว่า ราคาหุ้น TRUE ที่ปรับตัวลงมาช่วงก่อนหน้า ผิดกับหุ้นสื่อสารอีก 2 ค่ายที่ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาลง อาจเป็นเพราะนักลงทุนบางส่วนได้เตรียมรับรู้ผลกระทบจากผลการเจรจาเอาไว้บ้างแล้ว
ผิดกับ ADVANC ซึ่งไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน ประกอบกับนักวิเคราะห์มองว่า การเจรจาระหว่าง ADVANC กับ TOT น่าจะมีความยากมากกว่า เนื่องจากธรรมชาติของ ADVANC ที่จะเน้นไปที่การรักษาผลประโยขน์ของตัวเอง ประกอบลักษณะองค์กรของ TOT เองที่ดูจะมีความเป็น "หน่วยงานรัฐ" มากกว่า CAT ทำให้อาจต้องมีการตกลงกันนาน
แต่ท้ายที่สุด ยังไงเสีย ADVANC ก็คงต้องระงับข้อพิพาทที่ค้างคามาด้วยวิธีเดียวกันกับ DTAC เพราะน่าจะเป็น "ทางออกที่ดีที่สุด" ในเวลานี้
หาก ADVANC ไม่ทำ ก็จะเป็นเพียงค่ายเดียวในที่สุดที่ยังคงมีกรณีพิพาทค้างรอกระบวนการศาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ overhang หุ้นของ ADVANC ต่อไป
ผิดกับ DTAC ที่ตอนนี้สบายตัวไปแล้ว และ TRUE ที่กำลังจะสบายตัวหากการเจรจาได้ข้อสรุปว่าจะจ่ายเงินเคลียร์ปัญหาที่ค้างคากันเท่าไหร่
มูลค่าที่ TRUE กับ ADVANC จะต้องจ่ายนั้น ไมมีใครประเมินได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้อพิพาทระหว่างกันมีมากขนาดไหน
แต่เอาจริงๆก็คงไม่ได้น้อยไปกว่ากัน เพราะส่วนใหญ่เวลาฟ้อง ก็โดนฟ้องในเรื่องเดียวกันทั้ง 3 ค่าย ขึ้นอยู่กับว่า TOT หรือ CAT จะเป็นคนฟ้อง และมูลค่าความเสียหายส่วนใหญ่ก็อ้างอิงจากจำนวนฐานลูกค้าของแต่ละค่าย
นับว่าเป็นเรื่องที่ดี การยอม "เจ็บ" แต่ "จบ" มันจะสร้างความชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นในการเข้าลงทุนของนักลงทุน มากกว่าปล่อยให้ค้างเอาไว้แล้วไปรอเอาคำตัดสินของศาล
ซึ่งแต่ละเคสที่ฟ้องร้องกันนั้นมีมูลค่าระดับหมื่นล้าน ถ้าไม่จบ นักลงทุนก็ต้องมานั่งลุ้นกันใจจะขาดเวลาที่รอฟังคำตัดสินของศาล ไม่ต่างกับตอนที่ BANPU ลุ้นคำตัดสินศาลคดีโรงไฟฟ้าหงสา
เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน ผลจะออกมายังไงก็ได้
แต่ข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน ไปนับกันดูว่ามีกี่ครั้ง ที่ "เอกชน" เป็นฝ่ายชนะ
**** หมายเหตุ ถ้าอ่านคำชี้แจงของ DTAC ให้ดี จะเห็นว่า เขาใช้คำที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ไม่ได้เคลียร์เรื่องในอดีต "ทุกเรื่อง" นะ แต่เลือกใช้คำว่า "ส่วนใหญ่" ดังนั้น ก็ต้องพิจารณากันในรายละเอียดอีกทีว่า ข้อเรียกร้องใดที่ถูกรวมมาจบกันในการจ่ายครั้งนี้บ้าง แล้วยังเหลืออะไรที่ค้างอยู่บ้าง ซึ่ง DTAC ยังไม่ได้ให้รายละเอียดในส่วนนี้