BWG เกมเก่าๆ เรื่องธรรมดา
”
คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ โดย...เจ๊เมาธ์
*** ถ้าไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้...ไม่ตามหรือไม่สังเกต ก็เป็นไปได้ ที่จะไม่รู้ว่า BWG หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า “ขยะทองคำ” ได้ปรับราคาขึ้นมาจากหุ้น “ไม่เต็มบาท” มาเป็นหุ้น “เกินบาท” โดยใช้เวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆ อย่างแรกก็มีสาเหตุมาจากบริษัทลูกอย่าง ETC ได้ผ่านเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นในโรงไฟฟ้าขยะเชื้อเพลิงอุตสาหกรรมขนาด 100 MW จากการไฟฟ้า ซึ่งหากว่า ETC ได้รับการคัดเลือกก็จะทำให้ BWG มีรายได้จากการเป็นผู้ป้อนวัตถุดิบและมีรายได้จากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ ETC (43.93%) ในแบบ 2 ต่อในครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม อีกประเด็นที่เป็นสาเหตุทำให้ราคาหุ้นของ BWG วิ่งแรงขึ้นก็มาจากการเพิ่มทุนในแบบ PP จำนวน 400 ล้านหุ้น ให้กับนักลงทุน 6 ราย ประกอบด้วย นายแพทย์รัชต์ชยุตน์ จีระพรประภา ,นายสิปปกร ขาวสอาด, นายวศิน ตังกิจเจริญ, นายอิทธิพัทธ์ หวังพันธุ์ขจร, นายจิรายุส จึงธนสมบูรณ์ และ ร้อยโทวโรดม สุจริตกุล ในราคาหุ้นละ 0.92 บาท รวมเป็นเงิน 368 ล้านบาท
น่าสนใจว่าในรายซื่อของนักลงทุน 4 คนแรก เป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับกลุ่มที่ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ BWG เมื่อปี 2564 แต่ปัจจุบันกลับไม่ปรากฏรายชื่อว่ายังคงเป็นผู้ถือหุ้นของ BWG ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า หุ้นเพิ่มทุนที่ได้มาล้วนถูกขายไปแทบทั้งหมด เจ๊ไม่อยากจะคิด การขายหุ้นเพิ่มทุนรอบนี้ให้กับคนกลุ่มเดิม ก็อาจเป็นการเดินซ้ำรอยเดิม แบ่งปันค่าขนมกันอีกครั้งก็เป็นได้ ...เรื่องเงินๆ ทองๆ กำรี้กำไร ไม่เข้าใครออกใคร ถ้าจะทำซ้ำอีกก็เป็นเรื่องธรรมดา...เอ๊ะ หรือจะไม่ธรรมดา เจ๊ก็ไม่รู้นะ
*** บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ SVR ถือได้ว่าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายแรกๆ ที่กล้าเน้นความแตกต่างด้วยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ เพื่อจำหน่าย เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และอาคารพาณิชย์ มาเป็นจุดขาย ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าปัจจุบันคอนโดมีเนียมที่มีอยู่ในตลาด มีจำนวนมากกว่าความต้องการ ขณะที่โจทย์ของผู้บริโภคเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น รวมไปถึงการคมนาคมด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวก ก็ทำให้ที่พักอาศัยริมชานเมือง กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเข้ามาของบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นสินค้าในแนวราบอย่าง SVR จึงดูน่าสนใจ ส่วนจะไปได้ดีแค่ไหนวันที่ 8 ก.พ. ซึ่งเป็นวันแรกของการซื้อขายหุ้นก็จะเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนมากกว่าคำพูดใดทั้งสิ้น
*** ไม่รู้ว่าเกมการเตะตัดขาคู่แข่งด้วยการลดราคา...เพิ่มสาขา ทุ่มทุกอย่างและยอมขาดทุนเพื่อให้ได้กินรวบทั้งตลาด คือ แผนการในระยะยาวที่ทาง KEX กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่ และถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะถูกต้องในทางทฤษฎี แต่สำหรับในทางปฏิบัติ การที่ราคาหุ้นที่ปรับลงมาอยู่ในจุดต่ำ นับตั้งแต่เข้าตลาดมา เป็นปัญหาที่ทำให้นักลงทุนที่อยู่กับหุ้นตัวนี้มานาน ส่วนใหญ่จะติดดอย ขณะที่นักลงทุนรายใหม่เอง ก็ไม่อยากยุ่งกับหุ้นที่ราคาหุ้นแทบจะไม่ขยับเลยแบบนี้เช่นกัน เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์ยังคงมีมุมมองที่ว่า KEX เป็นหุ้นที่ยังไม่น่าสนใจ ส่วนที่ว่าจะดี หรือ มีสัญญาณเมื่อไหร่ค่อยมาว่ากันอีกที...จังหวะนี้ถ้าใครทนได้ก็ต้องถือยาวไปจนถึงยาวมากเท่านั้นเอง
*** ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เข้ามาเป็นผู้ว่าราชการ กทม. มาแล้วหลายเดือน แต่ปัญหาเรื่อง “รถไฟฟ้าสายสีเขียว” ที่หลายฝ่ายคาดหวังว่า จะถูกแก้ไข ก็ยังคงคาราคาซังอยู่ระหว่าง กทม. กับ กระทรวงคมนาคม เช่นเดิม ไม่ว่า BTS จะใช้วิธีการในการเจรจา หรือว่าจะทวงหนี้ผ่านจอมอนิเตอร์โฆษณาในขบวนรถของ BTS แต่ปัญหาเรื่องเงินที่ว่านี้ ก็ยังคงไม่ถูกแก้ไขอยู่เช่นเดิม ก็อย่างว่าหนี้สินระหว่าง กทม. และ BTS มูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท มันไม่ใช่ว่าใครมาแล้วจะกลายเป็นฮีโร่ที่แก้ไขอะไรก็ได้เหมื่อนที่เคยฟุ้งเอาไว้ เอาเป็นว่าเกมนี้นอกจาก กทม. BTS กระทรวงคมนาคม ก็ยังมีกระทรวงมหาดไทยอีกหนึ่งหน่วยงาน ที่ได้สิทธิ์ในการเป็นผู้เล่น บอกเลยเกมนี้ไม่มีฮีโร่...ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ ก็คงจะเป็นแค่การให้กำลังใจ BTS ให้สามารถเจรจาได้จบในเร็ววัน เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้ เจ้าค่ะ