PTTEP ชู 2 โปรเจค ดันยอดขายปิโตรเคมีปี 64
PTTEPคาดยอดขายปี 2564 เพิ่มมากกว่า 3.5 แสนล้านบาร์เรลต่อวัน และรักษาเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปีตามแผน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้น เผย 2 โครงการใหญ่มาเลเซีย-แอลจีเรีย เดินเครื่องผลิตไตรมาส 2 ปีหน้าดันรายได้เพิ่ม
นางชนมาศ ศาสนนันทน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปริมาณขายปิโตรเลียมปี 2564 เพิ่มขึ้นมากกว่า 3.5 แสนบาร์เรลต่อวัน จากหลายโครงการที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า และยังคงรักษารักษาการเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปีได้ตามประมาณการเดิม
สำหรับโครงการใหม่ที่จะเข้ามาเสริมศักยภาพปริมาณขายปิโตรเลียมในปีหน้า ได้แก่ โครงการ SabaH ในมาเลเซีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงได้ไม่เกินไตรมาส 2 ปีหน้า ซึ่งจะมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 7 พันบาร์เรลต่อวัน จากเฉลี่ยทั้งปีราว 2 หมื่นบาร์เรล รวมถึงโครงการเบอร์ซาบา(HBR)ในแอลจีเรีย เฟสแรกที่มีปริมาณการผลิต 1-1.3 หมื่นบาร์เรลต่อวัน คาดว่าจะผลิตได้ในช่วงแรกราว 5-6 พันบาร์เรลต่อวัน และเริ่มเฟส 2 ในปี2568 จะเพิ่มประมาณการผลิตเป็น 5-6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้บริษัทยังคงมองหาโอกาสซื้อกิจการ (M&A) เพิ่มเติมตลอดเวลา หากเป็นโครงการที่น่าสนใจและตรงกับยุทธศาสตร์ของบริษัท
ส่วนการบริหารต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับ 25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ภายในปี2573 นั้น คาดว่า หลังจากนี้จะเห็นต้นทุนทยอยลดลงอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนวทางการเข้าลงทุนในโครงการ จี1/61 (แหล่งเอราวัณ) และโครงการ จี 2/61 (แหล่งบงกช)ได้สำเร็จและกำลังดำเนินการตามแผนงาน รวมถึงการลดต้นทุนค่าบริหารจัดการแท่นขุดเจาะ และค่าขนส่ง เป็นต้น จาก ณ สิ้นไตรมาส 3 ปีนี้บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา ที่ 71% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ผลประกอบการปตท.สผ.งวด 9 เดือนปี 2563 มีรายได้รวม 4,082 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 128,369 ล้านบาท) ลดลง 11% จาก 4,572 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 143,115 ล้านบาท) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 639 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 20,137 ล้านบาท) ลดลง 46% เมื่อเทียบกับ 1,185 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่า 37,182 ล้านบาท) โดยหลักมาจากราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ปีนี้ แต่ยังคงเป็นการปรับขึ้นในกรอบแคบ บริษัทคาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ราคาน้ำมันจะปรับขึ้นอยู่ในกรอบ 40-42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเพิ่มขึ้นในปีหน้า ในกรอบ 45-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยยังต้องติดตามปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน ได้แก่ ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในภาพรวมหลังการแพร่ระบาดรอบ 2 ในยุโรปในขณะที่โอเปคยังคงปริมาณการผลิตไว้เท่าเดิมหากสถานการณ์โควิด-19 ยังคงยืดเยื้อ
ขอบคุณที่มาเนื้อหาข้อมูลจาก