ห้องเม่าปีกเหล็ก

เกาะกระแส 3 หุ้นกลุ่ม EA ที่เป็นผู้ชนะในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า

โดย หญิงแม้น
เผยแพร่ :
527 views

เกาะกระแส 3 หุ้นกลุ่ม EA

ที่เป็นผู้ชนะในตลาดยานยนต์ไฟฟ้า

.

3 หุ้นกลุ่ม EA มีความน่าสนใจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น EA, NEX และ BYD ที่ปัจจัยบวกด้านยานยนต์ไฟฟ้ากำลังจะผลักดดันผลประกอบการให้เติบโตอย่างโดดเด่น

ล่าสุดนักวิเคราะห์บล. อาร์เอชบี (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ Wealthy Thai ว่า ความน่าสนใจของทั้ง 3 หุ้นนั้นประกอบด้วยมาตรการสนับสนุนการลงทุนแบตเตอรี่ รวมทั้ง NEX เริ่มส่งมอบ EV bus และ BYD มีสัมปทานรถเมล์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย ดังนั้นทั้ง 3 บริษัทเป็นธุรกิจที่จะเริ่มรับรู้รายได้ยานยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ไตรมาส 3-4/65 เป็นต้นไป

.

สำหรับ EA ที่จะเริ่มรับรู้รายได้จากการส่งมอบรถ EV bus และรถบรรทุกหัวลากในช่วงครึ่งปีหลัง และอยู่ในระหว่างการขยายโรงงานผลิตแบตเตอรี่จาก 2 กิกะวัตต์ในไตรมาส 1/66 และจะขยายเป็น 4 กิกะวัตต์ในปี 67 ในขณะที่โรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าบริษัทได้วางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 50,000 คันภายในปี 68 จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 3,000 คัน/ปี จึงคงแนะนำซื้อเก็งกำไร EA, NEX, BYD

.

ขณะที่นักวิเคราะห์บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ยังมองแนวโน้มการเติบโตของกำไรของ EA และ NEX เป็นบวกในช่วงครึ่งหลังปี 65 ถึงปี 67 จากรายได้และกำไรจากธุรกิจ EV ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วยการผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่และ EV รวมถึงความต้องการที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในตลาดรถแทรกเตอร์ใหม่

.

ทั้งนี้คาดว่า NEX จะรายงานกำไรสุทธิ 100-150 ล้านบาทในไตรมาส 3/65 และไตรมาส 4/65 เพิ่มเป็น 400 ล้านบาท โดยในไตรมาส 3/65 ส่งมอบ EV-Bus 400 คัน และในไตรมาส 4/65 EV-Bus กับ EV-Tractor 900 คัน แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21.60 บาท

.

สำหรับแผนการเติบโตของ EA-NEX ในธุรกิจ EV ประกอบด้วย 1.มูลค่าคำสั่งซื้อในมือที่อยู่ในระดับสูง ทั้ง EV-Bus กว่า 3,000 คันและ EV-Tractor อีก 500 คันในช่วงไตรมาส 4/65-ครึ่งแรกปี 66 และ 2.ศักยภาพการเติบโตของ EV-Truck อีก 10,000 คันจากตลาด EV-Truck ที่กว่า 1 แสนคันต่อปีในประเทศไทย

.

บริษัทวางรูปแบบธุรกิจด้วยการขาย EV และบริการชาร์จเชื้อเพลิง (SFS) โดยการขาย EV-Truck ในราคาที่ใกล้เคียงกับรถบรรทุกที่ใช้น้ำมันดีเซล จากนั้นก็ให้ลูกค้าจ่ายค่าชาร์จในอัตราเหมาตามที่ตกลงไว้ที่ 10-11 บาท/กม. สำหรับต้นทุนผันแปรที่เกิดขึ้น กลยุทธ์การตลาดใหม่ผ่าน SFS อาจสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้ EV ของ EA-NEX เพื่อประหยัดเงินจากต้นทุนเชื้อเพลิงโดยการจ่ายอัตราเหมาคงที่อันประกอบด้วยต้นทุนเชื้อเพลิง ซ่อมบำรุง และค่าชาร์จ EV

.

ดังนั้นคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่ม EV ของไทยและคาดว่าราคาหุ้นของ EA และ NEX จะปรับตัวดีกว่าเพื่อนในอีกหลายเดือนข้างหน้าจาก 1.การเติบโตของกำไรที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นจากการส่งมอบ EV-Bus และ EV-Truck ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 ไปถึงปี 66 โดยมูลค่าคำสั่งซื้อ EV-Bus และ EV-Truck ในมือที่อยู่ในระดับสูงในปี 66-67 รวมทั้งการขยายกำลังการผลิต และโอกาสที่จะได้รับคำสั่งซื้อ EV-Truck อีก 10,000 คัน

.

ส่วนนักวิเคราะห์บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า เบื้องต้นคาดกำไรปกติของ EA ในไตรมาส 3/65 เติบโตเด่นจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อน มีโอกาสทำ New high โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อน เพราะเข้าสู่ช่วง High Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไตรมาส 3/65

.

รวมทั้งต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต EV และแบตเตอรี่ที่เริ่มปรับตัวลงเช่นเดียวกับราคา Commodity อื่นหลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัว และ

EA ได้มีการส่งมอบไปแล้วราว 200 คันในช่วง ก.ค. - ส.ค. โดยคาดจะสามารถส่งมอบได้ราว 250-500 คันในไตรมาส 3/65 (ไม่มีการส่งมอบในครึ่งปีแรก65)

.

ขณะที่การเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจะได้แรงหนุนมาจากการส่งมอบรถ EV Bus ที่สูงขึ้น (ส่งมอบ 77 คันในไตรมาส 3/64) และประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลังจากมีการเปลี่ยนแผง Solar รวมถึงการปรับขึ้นค่า Ft เป็นหลัก

.

สำหรับปัจจุบัน EA มี Backlog รถ EV Bus อยู่ที่ 3,000 คัน (คำสั่งซื้อหลักมาจากกลุ่ม BYD) โดยจะทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3/65 ไปจนถึงไตรมาส 2/66 เมื่อประกอบกับการสั่งชิ้นส่วนจากจีนที่ทำได้ง่ายขึ้น (สถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มคลี่คลาย) และความเร็วการผลิตของโรงงาน EV Bus ในปัจจุบันที่ราว 7-8 คัน/วัน (ถ้าเต็ม Capacity อยู่ที่ราว 9-10 คัน/วัน) จึงคาดการส่งมอบรถ EV Bus จะมีความต่อเนื่องมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังปี 65 เป็นต้นไป

.

ทั้งนี้ EA มีการตั้งเป้าหมายการส่งมอบรถ EV Bus ในปี 65 จำนวน 1,200 คัน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ปริมาณการส่งมอบจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4/65 และทำให้กำ ไรปกติไตรมาส 4/65 มีโอกาส New high เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน

.

ฝ่ายวิจัยปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 107 บาท/หุ้น แนะนำ “ซื้อ” โดย EA ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือการเปิดตัวรถกระบะ EV (EV Mini Truck) ในช่วงไตรมาส 4/65 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว (ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) เนื่องจากเป็นกลุ่มรถที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย (ทั้งในภาคขนส่งและภาคครัวเรือน)

 

 


หญิงแม้น