เข้าสู่ไตรมาสสุดท้าย กับหลายเหตุการณ์ที่นักลงทุนยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องผลการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ที่บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนสถาบัน ต่างเกาะติดสถานการณ์และประเมินผลกระทบที่จะมีต่อความผันผวนของตลาดการเงินโลก
นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว อีกเหตุการณ์สำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดการเงินโลก ก็คือการประชุม FOMC หรือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเป็นรอบที่ตลาดคาดหมายไว้มากที่สุดว่าจะเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สอง จนเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่ได้สะสมมาแล้วตลอดทั้งปี
แล้วความเสี่ยงเหล่านี้ ผู้ลงทุนจะปรับพอร์ต หรือจัดสรรตระกร้าการลงทุนอย่างไร?
Money Channel หาคำตอบจากอดีตผู้จัดการกองทุน ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ที่ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ซึ่งได้ย้ำถึงมุมมองว่า "พอร์ตการลงทุนสำหรับไตรมาส 4 ผู้ลงทุนจำเป็นต้องลดระดับความเสี่ยง จากหลายเหตุการณ์ที่จะทำให้ตลาดผันผวน และมีผลต่อการเคลื่อนย้ายของสภาพคล่อง"
โดยสินทรัพย์ที่ ดร.วิน มองว่าจะยังคงเป็น Theme ลงทุนหลัก คือ กลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมไปถึงกอง REIT และ Infrastructure Funds ด้วย เนื่องจากสินทรัพย์ทางเลือกเหล่านี้ ยังให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าจูงใจ แม้ราคาซื้อในกระดานจะบวกขึ้นมาสูงแล้วก็ตาม
ดร.วิน ให้น้ำหนักสินทรัพย์กลุ่มนี้ไว้ที่ 20-30% ของพอร์ต พร้อมยกให้ DIF และ JASIF เป็น Top Pick ของกลุ่ม


ขยับความเสี่ยงขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ ดร.วินแนะนำให้ลงทุนตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ในประเทศ ในสัดส่วน 20% ของพอร์ต พร้อมแนะนำเทคนิคในการเลือกซื้อด้วยว่า ต้องเป็นบริษัทที่เราเข้าใจ หรือรู้ว่าเงินที่บริษัทได้ไปนั้น นำไปทำอะไร? และเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของบริษัทนั้นๆ เติบโตได้หรือไม่?
สำหรับพอร์ตหุ้น ดร.วิน แนะว่าควรมี 50% ของพอร์ต โดยที่ 30% แรก ให้วางน้ำหนักในตลาดหุ้นไทย แต่ต้องเน้นไปในหุ้นที่จ่ายปันผลดีเป็นหลัก โดยกลุ่มที่แนะนำ คือหุ้นในกลุ่มเทเลคอม ซึ่งปัจจุบัน จ่ายปันผลในอัตราที่สูงถึง 5%
แม้ปัจจุบัน หุ้นเทเลคอม จะมีไม่เห็นอัตราการเติบโตสูงๆ แล้ว แต่ในแง่ของ downside risk หรือความเสี่ยงขาลง ที่จะกดดันราคาก็มีน้อยเช่นกัน ประกอบกับราคาหุ้นในกลุ่มนี้ ยังขยับขึ้นมาน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ เขาจึงมองว่าน่าจะเป็นกลุ่มหุ้นที่ช่วยลดระดับความเสี่ยงให้แก่ผู้ลงทุนได้
สำหรับพอร์ตหุ้นส่วนที่เหลืออีก 20% นั้น ดร.วิน แนะนำลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยเน้นไปที่หุ้นสหรัฐฯ เป็นหลัก
แม้สหรัฐฯ กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และแม้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ดร.วินเชื่อว่าจะมีผลทำให้ทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น บวกกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ ก็จะเป็น momentum หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ยิ่งมีโอกาสแข็งค่ามากขึ้นด้วย ซึ่งการที่เงินดอลลาร์แข็งค่า จะเป็น sentiment เชิงบวกดึงให้เม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดสหรัฐฯ มากขึ้นนั่นเอง
แม้จะเป็นพอร์ตที่เน้นลดความเสี่ยง แต่ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กูรูด้านการลงทุนรายนี้ไม่แนะนำให้ถือเงินสดติดพอร์ตไว้เลย นั่นเพราะความเชื่อที่ว่า การลงทุนในหุ้นกู้ยังสามารถทดแทนการถือเงินสดที่ไม่มีผลตอบแทน จึงมองว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดีกว่าสำหรับผู้ลงทุนในเวลานี้
Credit - Money Channel