ห้องเม่าปีกเหล็ก

ดักเก็บหุ้นกลุ่มรับเหมา

โดย Sunnyday
เผยแพร่ :
66 views

ดักเก็บหุ้นกลุ่มรับเหมา ปี 65 งานรถไฟฟ้ากับฝันที่เป็นจริง?

หุ้นกลุ่มรับเหมาได้ผ่านจุดที่อ่อนแอไปแล้ว หลังจากในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 และการปิดแคมป์คนงาน 1-1.5 เดือน ส่งผลต่อความคืบหน้าของงานระหว่างทำ รวมถึงค่าใช้จ่ายจากการป้องกันและดูแลพนักงานจากการแพร่ระบาดของ COVID-19


สะท้อนจากมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ที่ออกมาประเมินหุ้นกลุ่มนี้ไว้อย่างน่าสนใจ โดยมีใจความว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/64 มีผลกระทบจากการปิดแคมป์คนงาน 1-1.5 เดือน ส่งผลต่อความคืบหน้าของงานระหว่างทำรวมถึงค่าใช้จ่ายจากการป้องกันและดูแลพนักงานจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลต่อการรับรู้รายได้โดยรวมของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่เราดูแล CK STEC SEAFCO และ PYLON โดยไตรมาส 3/64 เป็นไตรมาสอ่อนแอสุดของปี คาดในไตรมาส 4/64 ผลประกอบการในธุรกิจก่อสร้างจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากงานที่สามารถเดินหน้าได้เป็นปกติมากขึ้น



รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย..จุดประกายงานปี
2565

รถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) มูลค่าโครงการโดยรวม 7.8 แสนล้านบาท มีระยะทางทั้งสิ้น 23.6 กิโลเมตร เป็นโครงสร้างทางวิ่งใต้ดิน 12.6 กิโลเมตร และโครงสร้างทางยกระดับ 11 กิโลเมตร และมีสถานีทั้งสิ้น 17 สถานี เป็นสถานีใต้ดิน 10 สถานี และสถานียกระดับ 7 สถานี โดยทาง รฟม.อยู่ระหว่างประกาศขาย TOR ระหว่างวันที่ 11 พ.ย.-24 ธ.ค. เบื้องต้นกำหนดยื่นซองประมูล 27 ธ.ค โดยคาดได้ชื่อผู้รับเหมาไม่เกินครึ่งแรก 65 มีจำนวน 6 สัญญา ซึ่งกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่เช่น CK, STEC ได้มีการซื้อซองประมูลแล้วทั้ง 6 สัญญา ทั้งนี้ยังมีโครงการที่คาดเห็นความต่อเนื่องคือโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย (ตลิ่งชัน-ศูนย์ วัฒนธรรม) ที่อยู่ระหว่างเตรียมขาย TOR และกรอบเวลาการประมูลคาดจะมีความชัดเจนมากขึ้นในปี 2565


ในระยะสั้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ยังมีปัจจัยกดดันจากผลประกอบการรับผลกระทบจากงานในมือที่ยังไม่สูง เนื่องจากการประมูลโครงการมูลค่าสูงของภาครัฐใช้เวลานาน อย่างไรก็ดีในปี 2565 งานก่อสร้างที่คาดเห็นความคืบหน้าของโครงการใหญ่ เช่น รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน สนามบินอู่ตะเภา จะช่วยเพิ่มงานในมือและรายได้ระหว่างปีของกลุ่มฯ ขณะที่งานประมูลใหม่ เช่น งานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง ส้ม จะเป็นแรงขับเคลื่อนต่องานใหม่ในมือ


นอกจากนั้นยังมีงานอื่นๆ เช่น งานสนามบิน งานรถไฟทางคู่เฟส 2 งานมอเตอร์เวย์ เป็นโอกาสที่ดีต่อการเพิ่มงานใน อุตสาหกรรม ซึ่งช่วยลดการแข่งขันในตลาดและช่วยรักษาระดับความสามารถในการทำกำไร


กลุ่มที่คาดได้ประโยชน์จากงานฐานรากที่เริ่มต้นก่อน ยังคงเป็น SEAFCO และ PYLON สำหรับกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ที่มีโอกาสรับงาน CK และ STEC



งานประมูลที่เกิดขึ้นในปี 2564 และคาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565

ทั้งนี้มองการประมูลของโครงการใหญ่บางโครงการเช่นที่เกิดความล่าช้า และชะลอออกไปก่อนหน้าระหว่างปี2562-2563 เช่นโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย สายสีต่างๆและ รถไฟทางคู่ ส่วนหนึ่งมีผลกระทบที่เกิดจาก COVID-19 มีผลต่อการประมูลที่ล่าช้าเนื่องจากภาครัฐจะให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด เป็นปัจจัยแรก


อย่างไรก็ดีคาดการเดินหน้าการประมูลโครงการใหญ่ของภาครัฐยังอยู่ในความสนใจ คาดว่าจะได้รับการผลักดันจากภาครัฐ เช่น รถไฟทางคู่สายใหม่ รถไฟทางคู่ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีต่างๆ มีมูลค่าโครงการโดยรวมราว 5.4 แสนล้านบาท


งานหลักมาจากกลุ่มรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายโดยรวมมีสัดส่วน 49% รองลงมาคือโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ มีสัดส่วนราว 24% และรถไฟทางคู่เฟส 2 มีสัดส่วนราว 25% ซึ่งคาดจะเห็นความคืบหน้าของงานประมูลระหว่างปี 2564-2565 ซึ่งยังเป็นแนวโน้มและโอกาสที่ดีต่อการเพิ่มปริมาณงานในอุตสาหกรรม


ขณะที่การประมูลที่เห็นชัดเจนภายในปี 2564 เป็นโครงการที่ได้เห็นความคืบหน้า และได้รายชื่อผู้เสนอราคาต่ำสุดไปแล้วคือ โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ 1) โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 2) โครงการก่อสร้างทางรถไฟ สายบ้านไผ่ -มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม อยู่ระหว่างการรอเซ็นสัญญาจากภาครัฐ


ส่วนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง เริ่มเปิดขายซองเอกสาร (TOR) ให้กับผู้ประกอบการ ระหว่างวันที่ 11 พ.ย – 24 ธ.ค และคาดยื่นซองประมูลได้วันที่ 27 ธ.ค ทั้งนี้ในปี 2565 คาดจะเห็นความคืบหน้าของงาน อื่นๆเพิ่ม จากรถไฟทางคู่เฟส 2 และการประมูลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย สายสีส้ม และสีแดง และโครงการอื่นๆเพิ่ม



CK ปี 65 งานในมือพุ่ง 1 แสนล้านบาท

CK มีงานอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาใหม่ จากโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท (สัญญาที่ 2 งาว-เชียงราย วงเงิน 2.69 หมื่นล้านบาท) (สัญญาที่ 3 เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท) คาดในเบื้องต้นสัดส่วนงานที่ได้รับราว 2.6 หมื่นล้านบาท รวมถึงงานประมูลใหม่ที่คาดหวังมีความชัดเจน (1) งานอุโมงระบายน้า มหาสวัสดิ์ วงเงิน 6.5 พันล้านบาทเตรียมยื่นซองประมูล 25 ธ.ค และ (2) งานท่อระบายน้ำบางบาล วงเงิน 3.3 พันล้านบาท ซึ่งมีโอกาสทราบชื่อผู้ได้รับงานภายในปี


ปี 2565 เตรียมประมูลงานใหม่ของภาครัฐ เล็งรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย ซื้อซองทั้งหมด 6 สัญญา เป็นงานใต้ดินสัญญาที่ 1-4 สัญญาที่ 5 เป็นงานบนดิน และงานระบบรางในสัญญาที่ 6 CK คาดหวังความสาเร็จอย่างน้อย 1สัญญา เตรียมยื่นซองประมูลวันที่ 27 ธ.ค. นอกจากนั้นยังคาดหวังความคืบหน้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและแดงส่วนต่อขยาย รวมถึงงานโรงไฟฟ้าพลังน้าหลวงพระบางที่คาดจะมีการเซ็นสัญญาได้ในช่วงต้นปี 2565 ทำให้ CK มีงานในมือเข้าระดับ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันที่ 2.5 หมื่นล้านบาท


แนะนำ“ซื้อ” แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 4/64 อาจปรับลดเมื่อเทียบกับรายไตรมาส มองเป็นผลกระทบระยะสั้น อย่างไรก็ดีประเด็นบวกในปี 2565 มีความน่าสนใจ จากการคาดหมายจากงานประมูลใหม่จากภาครัฐที่มีความคืบหน้า โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) และงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบาง


นอกจากนั้นยังมีงานรถไฟฟ้าสายสีส้มและสายสีแดงส่วนต่อขยาย เป็นปัจจัยหนุนงานในมือและการรับรู้รายได้ในระยะยาว ทั้งนี้เราคาดงานใหม่ที่มีการเซ็นสัญญาปลายปี 2564-ต้นปี 2565 จะมีผลต่อผลประกอบการที่ฟื้นตัวเด่นชัดมากขึ้นในครึ่งหลัง 65 ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 27 บาท



STEC ลุ้นงานในมือเข้าสู่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท

STEC จุดเด่นงานในมือยังสูงรองรับรายได้ต่อเนื่อง STEC มีงานในมือปัจจุบันราว 8 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา จากงานรถไฟทางคู่เส้นทางใหม่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ที่ STEC รับงานร่วมกับพันธมิตรคือ CK คาดได้รับงานราว 1.5 หมื่นล้านบาท และงานโครงการสนามบินอู่ตะเภาวงเงิน 2.7 หมื่นล้านบาท คาดหลังมีการเซ็นสัญญาจะทำให้ บริษัทมีงานในมือเข้าสู่ระดับ 1.2 แสนล้านบาท


รถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย..เป้าหมายงานใหม่ปี 2565 จากแผนงานประมูลของภาครัฐ ในงานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง และ ส้ม ที่นับเป็นจุดเริ่มต้นอีกครั้งในการแข่งขันการเข้าประมูลของ STEC สำหรับงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมา STEC มีงานอยู่ระหว่างทำคืองานรถไฟฟ้าสายสีชมพู เหลือง และส้ม แสดงให้เห็นถึงการมีประสบการณ์และศักยภาพในการรับงาน


ทั้งนี้ผลของผู้ที่ได้รับงานรถไฟฟ้าสายสีม่วงคาดอยู่ในช่วงต้นปี 2565 และรถไฟฟ้าสายสีส้มอยู่ในช่วง กลางปี 2565 ขณะเดียวกันจะเห็นความคืบหน้าของรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาการประมูลในรูปแบบ (PPP) คาดได้ข้อสรุปราว ต้นปี 2565 ซึ่งกรณีที่บริษัทไม่ได้เข้าประมูลด้วยตัวเอง แต่จะมีโอกาสในการรับงานช่วงต่อได้


คงคำแนะนำ “ซื้อ “ คาดผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะเป็นไตรมาสที่มีกำไรน้อยสุดของปี โดยในไตรมาส 4/64 จะกลับมาใกล้เคียงปกติอีกครั้ง ซึ่งมีงานอยู่ระหว่างทำและมีความคืบหน้า เช่น งานโรงไฟฟ้าปลวกแดง งานหมอชิตคอมเพล็กซ์ โดยมองปัจจัยหนุนในปี 2565 คือการกลับมาฟื้นตัวของผลประกอบการได้ชัดเจนมากขึ้นหลังปลดล๊อก โครงการรัฐสภาที่กดดันระดับอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564


คงประมาณการกาไรปกติปี 2565 ไว้ที่ 1.2 พันล้านบาท เติบโต 51% พร้อมมองประเด็นบวกจากงานประมูลใหม่เช่นงานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง (เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ซึ่งบริษัทมีการขายซองประมูลเปิดขายซองประมูล (TOR) ทั้ง 6 เส้นทางเตรียมยื่นซองประมูล 27 ธ.ค ช่วยต่อยอดงานในมือและการรับรู้รายได้ในอนาคต ราคาเหมาะสมของปี 2565 ที่ 21.50 บาท



PYLON ได้รับงานใหม่จากรถไฟ 3 สนามบิน

PYLON เริ่มรับงานใหม่เพิ่ม ล่าสุดได้รับงานรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน วงเงินรวม 400-500 ล้านบาท (เป็นงานค่าแรง) ซึ่งรับจากผู้รับเหมารายใหญ่ ITD คาดเริ่มเข้างานได้ในช่วงไตรมาส 1/65 โดยจะเห็นความคืบหน้าของงานมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2-3/65 (ระยะเวลาทางาน 8 เดือน) ขณะที่ยังมีงานใหม่ที่อยู่ระหว่างการเจรจาได้คืองานยกระดับพระราม 2 และ งานทางด่วนพระราม 3


Backlog อยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท PYLON มีงานในมือปัจจุบันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสามารถรองรับรายได้ต่อเนื่องไปถึงไตรมาส 3/65 โดยมีงานในปี 2565 ที่คาดหวังคือ งานรถไฟไทย-จีน งานรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีม่วง/ส้ม/แดง โดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีความชัดเจนต่อกรอบเวลาการประมูลโดยอยู่ระหว่างการขายซอง (TOR) นอกจากนั้นคาดหวังงานของภาคเอกชนเช่นงานภาคอสังหาริมทรัพย์ / Community Mall บริษัทคาดเห็นสัญญาณเชิงบวกของงานใหม่ในช่วงครึ่งหลัง 2/65


ไตรมาส 4/64 ผลประกอบการฟื้นตัว PYLON คาดผลกระทบจาก COVID-19 ที่มีผลต่อผลประกอบการ และงานใหม่ที่ล่าช้า ได้ผ่านพ้นแล้วในไตรมาส 3/64 และคาดแนวโน้มผลประกอบการจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 4/64 ทั้งการรับรู้รายได้และระดับอัตรากำไรขั้นต้น โดยคาดผลประกอบการจะฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่องไปปี 2565 หลังจากการเริ่มงานใหม่โครงการรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินสามารถก่อสร้างได้


แนะนำ “เก็งกำไร ” ในปี 2565 จะเป็นปีที่เห็นการฟื้นตัวอีกครั้ง จากความคืบหน้าของงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่นรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย ซึ่งเป็นความหวังของงานใหม่ที่มีความชัดเจนมากที่สุด และยังมีงานอื่นๆที่เตรียมประมูลและคืบหน้าเพิ่มคือ งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม/แดง ส่วนต่อขยาย รวมถึงงานก่อสร้างที่คืบหน้าจากรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ส่งผลต่อการฟื้นตัวของรายได้และความสามารถในการทำกำไร


คาดในปี 2565 บริษัทจะมีรายได้ราว 1.5 พันล้านบาท และมีกำไรปกติที่ 169 ล้านบาท เห็นการเติบโตกว่า 200% ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 4.90 บาท บริษัทยังคงจุดเด่นการมีสถานะการเงินที่แข็งแรง เป็น Net Cash company



SEAFCO ง
นประมูลใหม่มีต่อเนื่อง

จากงานที่เข้าประมูลโดยรวมราว 9 พันล้านบาท (ไม่รวมโครงการ Megaproject) รอหนุนงานในมือปัจจุบันที่ 1.3 พันล้านบาท โดยดไตรมาส 3/64 ผ่านจุดต่ำสุด บริษัทคาดไตรมาส 4/64 เห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการโดยรวมทั้งรายได้ และระดับมาร์จิ้น หลังแคมป์คนงานสามารถเปิดทำงานได้ และคาดไม่มีรายการพิเศษจากการตั้งสำรอง


ปี 2565 มีควมหวังจกงนโครงกรใหญ่ของภครัฐ ทั้งจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง/ส้มส่วนต่อขยาย และงานอื่นๆเช่นงานทางด่วน รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน ส่วนปัญหาแรงงานอยู่ระหว่างแก้ไข มีโอกาสจ้างงานสัญชาติอื่นเพิ่มเช่นจากประเทศบังกลาเทศ ขณะที่คาดหวังภาครัฐให้การสนับสนุนมาตรการอื่นๆเพิ่ม แนะนำ “เก็งกำไร” คดไตรมาส 4/64 เห็นการฟื้นตัวขึ้นของผลประกอบการที่ไม่มีการปิดแคมป์คนงาน และสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลายมากขึ้น


ปัจจัยหนุนปี 2565 คืองานใหม่จากภาครัฐโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ จากรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ /รถไฟฟ้าสายสีม่วงและส้มส่วนต่อขยาย ราคาเหมาะสม ปี 2565 ที่ 5.34 บาท โดยมีประเด็นติดตามคือแผนการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และราคาวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันซึ่งมีผลต่อความสามารถในการทำกำไร



ผู้รับเหมา
รายกลางที่มีโอกาสได้ประโยชน์

กลุ่มผู้รับเหมารายกลางที่มีโอกาสและมีศักยภาพในการรับงานจากโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เห็นได้จากการรับงานใหม่ต่อเนื่องจากภาครัฐ การมีงานในมือที่อยู่ในระดับมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ณ ปัจจุบัน การเพิ่มเม็ดเงินการลงทุนด้วยการอนุมัติโครงการต่างๆ จะช่วยเพิ่มอุปทานให้กับทั้งกลุ่ม นอกเหนือจาก กลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่


โดยมี 3 บริษัทที่น่าสนใจ NWR CNT UNIQ ที่มีการรับงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนที่สม่ำเสมอ โดยมีงานในมือมากกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้มีการรับรู้รายได้ที่สม่ำเสมอ จากผลประกอบการล่าสุดไตรมาส 3/64 ที่ยังคงเห็นอัตรากำไรขั้นต้น จากภาพรวมต่างมีผลกระทบจากการปิดแคมป์ คนงานที่เกิดจากการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 และมีผลกระแสเงินสดสุทธิที่ยังเป็นบวก รวมถึงปัจจุบันซื้อขายระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่มีค่าเฉลี่ย 1.21 เท่า


NWR มีงานในมือ 2.1 หมื่นล้านบาท มี EBIT ที่ 2.4 หมื่นล้านบาท จากผลประกอบการในงวด 9 เดือน 64 มีผลขาดทุน 616 ล้านบาท มีผลขาดทุนสะสม 1.1 พันล้านบาท ปัจจุบัน ซื้อขายระดับ P/BVที่ 1.09 เท่า จากมูลค่าทางบัญชีที่ 0.92บาท/หุ้น


CNT มีงานในมือ 1.3 หมื่นล้านบาท ผลประกอบการในงวด 9 เดือน 64 มีผลขาดทุนสุทธิ 39 ล้านบาท ปัจจุบันซื้อขายระดับ P/BV ที่ 0.94เท่า จากมูลค่าทางบัญชีที่ 1.94บาท/หุ้น โดยมีกำไรสะสม 303.8 ล้านบาท


UNIQ มีงานในมือราว 1.6 หมื่นล้านบาท จากผลประกอบการงวด 9 เดือน 64 มีกำไรสุทธิ 20.18 ล้านบาท โดยปัจจุบันซื้อขายระดับ P/BV ที่ 0.84 เท่า จากมูลค่าทางบัญชีที่ 7.46 บาท/หุ้น โดยมีกำไรสะสม 4.5 พันล้านบาท


แม้ว่ากลุ่มผู้รับเหมารายกลาง จะมีการรับงานจากภาครัฐจนมีงานในมือค่อนข้างสูง อย่างไรก็ดีการควบคุม ต้นทุนของแต่ละโครงการและค่าใช้จ่ายยังเป็นประเด็นติดตาม ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถควบคุม ความสามารถในการทำกำไรได้ดีจะเป็นแนวโน้มที่ดีต่อบริษัท เนื่องจากได้แรงหนุนจากงานใหม่ของภาครัฐ ทั้งจากการเข้าประมูลด้วยตัวเอง พร้อมพันธมิตร หรือการรับงานช่วงต่อจากกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่

 


Sunnyday