ส่องคาดการณ์งบ 5 หุ้นโรงพยาบาล
พบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ดันกำไรโตกว่า 100%

.
กำลังทยอยประกาศออกมาต่อเนื่อง สำหรับผลประกอบการปี 2565 ของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งมีทั้งบริษัทที่เติบโตดีกว่าคาดและต่ำกว่าคาด โดยหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้รับทั้งปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ ทำให้ความต้องการใช้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบางโรงพยาบาลก็ยังได้รับปัจจัยกดดันจากรายได้ Covid-19 ที่ลดลง
.
ดังนั้นจึงต้องติดตามว่าหุ้นโรงพยาบาลไหนจะสร้างการเติบโตได้โดดเด่นบ้าง วันนี้ Wealthy Thai จึงมีคาดการณ์กำไรสุทธิของหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล 5 ตัว ได้แก่ BDMS, BH, BCH, CHG และ PRINC มานำเสนอ
.
สำหรับ BDMS หรือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดกำไรไตรมาส 4/65 ที่ 3,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยการปรับลดลงจากไตรมาส 3/65 เนื่องจากผลของปัจจัยฤดูกาล ส่วนการเติบโตจากไตรมาส 4/64 หลักๆ ยังมาจากการฟื้นตัวของคนไข้ปกติที่ไม่เกี่ยวกับ Covid-19 ผลบวกจากการเปิดประเทศ ทำให้คนไข้ต่างชาติกลับมาใกล้เคียงระดับปกติราว 90% เทียบกับช่วงก่อนการระบาดของ Covid-19
.
โดยลูกค้าต่างชาติหลักๆ มาจากกลุ่ม CLMV ตะวันออกกลาง และยุโรป ส่วนกลุ่มลูกค้า Fly in ขึ้นมาอยู่ที่ราว 60% เพิ่มจากต้นปีที่ราว 40% ของรายได้ ส่งผลให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน เป็น 22,892 ล้านบาท ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไรอ่อนตัวลง โดยอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากไตรมาส 4/64 ที่ 37.4% เหลือ 35.1% เนื่องจากผลของ Product mix รายได้เกี่ยวกับการให้บริการ และขายวัคซีน Covid-19 ที่หายไป ดังนั้น ภาพรวมปี 2565 ประมาณการรายได้ที่ 90,670 ล้านบาท เติบโต 22% และประมาณการกำไรปกติที่ 12,555 ล้านบาท เติบโต 62% จากปีก่อน
.
ขณะที่ BH หรือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Slightly positive ต่อแนวโน้มไตรมาส 4/65 ของ BH คาดยังเติบโตสูงตามรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ที่ดีขึ้น โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 4,603 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 261% จากปีก่อน เติบโตก้าวกระโดด เนื่องจากรายได้รักษาพยาบาลขยายตัว 61% ตามผลบวก Pent-up demand ของลูกค้าต่างชาติ
.
ประกอบกับมีผลบวก Intensity ค่ารักษาโรคเพิ่มขึ้นตามลูกค้าต่างชาติมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้น และปรับอัตราการให้ส่วนลดลดลงสู่ฐานช่วงก่อนเกิด Covid-19 ทำให้คาดว่ามี GPM จะอยู่ที่ 46% ดีขึ้นจาก 37.7% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (SG&A) ต่อรายได้มีสัดส่วน 19.2% ลดลงจาก 26.6% ในปี 2564 คงคำแนะนำ Neutral รอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และปรับราคาเป้าหมายปี 2566 เป็น 220 บาท
.
สำหรับ BCH หรือ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า มีมุมมอง Slightly negative ต่อแนวโน้มไตรมาส 4/65 คาดกำไรสุทธิ 420 ล้านบาท ลดลง 83% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน แต่ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิในไตรมาสก่อนหน้า
.
หากกำไรสุทธิไตรมาส 4/65 เป็นไปตามที่คาด จะทาให้ทั้งปี 2565 จะมีกาไรสุทธิ 3,189 ล้านบาท ลดลง 53% จากปีก่อน หากหักด้อยค่าวัคซีน Covid-19 คาดธุรกิจปกติมีกำไร 4,091 ล้านบาท ลดลง 40% จากปีก่อน ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิเคราะห์คาดไว้ 2% เนื่องจากการปรับฐานของรายได้รักษาพยาบาลที่ลดลง 13% จากปีก่อน และผลของ Economy of scale ลดลงจากการให้บริการเกี่ยวกับ Covid-19 ทำให้คาดว่ามี GPM ที่ 39.5% ลดลงจากปีก่อนที่อยู่ที่ 50.7% คงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 22.60 บาท
.
ในส่วนของ CHG หรือ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเมินกำไรหลักไตรมาส 4/65 ที่ 404 ล้านบาท ลดลง 56% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 76% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้เกี่ยวกับบริการ Covid-19 ที่ลดลง และผลของฤดูกาล
.
โดยฝ่ายวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์กำไรหลักปี 2565 ลง 2% เหลือ 2,897 ล้านบาท โดยการลด EBITDA margin ลง 0.7 ppt เป็น 39.5% เนื่องจากรายได้จาก Covid-19 ทำกำไรลดลงเร็วกว่าที่คาด เหลือเพียง 1-2% ของรายได้ทั้งหมดในไตรมาส 4/65 อย่างไรก็ตาม ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 4.40 บาท จากแนวโน้มระยะยาวที่เติบโตดี เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ EEC
.
ด้าน PRINC หรือ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) คุณธีระพล อุดมเวศย์ ผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ให้มุมมองว่า แนวโน้มไตรมาส 4/65 จะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้ง จากการเติบโตของรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับ Covid-19 ที่ขยายตัวต่อเนื่อง ตามการความต้องการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยปกติที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/65 ยังมีปัจจัยลบที่เข้ามากดดันผลการดำเนินงาน คือ ค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองสำหรับวัคซีน Moderna ที่ล้าสมัย ซึ่งต่อเนื่องมาจากไตรมาส 3/65 เล็กน้อย และรายได้ที่เกี่ยวกับบริการ Covid-19 ซึ่งลดลงค่อนข้างเร็ว
.
อย่างไรก็ตาม ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 610 ล้านบาท เติบโต 672% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 79 ล้านบาท นอกจากนี้ PRINC ยังมีแนวโน้มการเติบโตระยะยาวจากการเพิ่มเครือข่ายโรงพยาบาลใหม่เป็น 20 แห่ง ภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่มีโรงพยาบาลทั้งหมด 13 แห่ง ใน 11 จังหวัดทั่วประเทศ
.
โดยคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 9 บาท มอง PRINC เป็นหนึ่งในตัวเลือกการลงทุนที่ถูกที่สุดสำหรับเครือโรงพยาบาลที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทยที่อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต (สำหรับโรงพยาบาลมีอยู่) และช่วงขยายงาน