ห้องเม่าปีกเหล็ก

เรากังวลกับประเด็น Inverted Yield Curve มากเกินไปไหม ?

โดย SiTh LoRd PaCk
เผยแพร่ :
62 views

 

"ความกังวลของ Inverted Yield Curve ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด "

ถือเป็นเรื่องร้อนแรงในหมู่นักลงทุนซะเหลือเกิน กับประเด้นเรื่องของ Inverted Yield Curve ส่งผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทยที่กดดันจนหลุด 1600 จุดอย่างรวดเร็ว ประเด็นสำคัญคือ  Inverted Yield Curve คืออะไร ทำไมนักลงทุนทั่วโลกถึงกังวล แต่ในความเป็นจริงนั้น เรากลัวมากเกินไปหรือเปล่า ?

วันนี้จะเล่าให้ฟังครับ ... !

ในโลกของการลงทุน มีสิ่งทีเรียกว่า "พันธบัตรรัฐบาล" หมายถึง รัฐบาลเป็น "ผู้ขอกู้" ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนักลงทุน โดยจะจ่ายเป็นผลตอบแทนให้เมื่อถึงเวลาที่กำหนด มีตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี หรือแม้กระทั่ง 10 ปี ก็มีด้วย ถ้ายิ่งระยะเวลายาว จะยิ่งได้ผลตอบแทนที่มากขึ้นชดเชยกับสภาพคล่องที่หายไปที่นักลงทุนไม่สามารถขอคืนเงินได้ เราเรียกกันว่า Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล

อย่างที่เราเข้าใจ เราซื้อพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี อาจจะได้ผลตอบแทน 1.7% ต่อปี แต่ถ้าเราซื้อพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี อาจจะได้ผลตอบแทน 2.5% ต่อปี เราเรียกว่าผลตอบแทนแบบปกติ

แต่มันเกิดเรื่องไม่ปกติขึ้น เมื่อเราซื้อพันธบัตรรัฐบาล 2 ปี ได้ผลตอบแทน 1.7% ในขณะที่ซื้อพันธบัตรอายุ 10 ปี ได้ผลตอบแทน 1.5% ซึ่งน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น เราเรียกเหตุการณ์ไม่ปกตินี้ว่า Inverted Yield Curve

ในทางวิชาการแล้ว Inverted Yield Curve คือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นให้ผลตอบแทน "สูงกว่า" พันธบัตรระยะยาว

... แล้วสิ่งที่น่ากังวล คืออะไร ...
สาเหตุที่พันธบัตรระยะยาวให้ผลตอบแทนลดลง จนต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น เนื่องจากมีนักลงทุนสถาบันใหญ่ๆแห่ไล่ซื้อพันธบัตรระยะยาวมากขึ้น เพราะผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นมองว่าเศรษฐกิจอเมริกากำลังจะเกิดสภาวะ "ถดถอย" หรือที่เรียกกันว่า Recession เศรษฐกิจอเมริกากำลังจะมีปัญหานั้นเอง คนเลยไล่ซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อล๊อคผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้า

ผู้สื่อข่าวของช่อง CNBC ชี้ว่า ในอดีตที่ผ่านมาการเกิด Inverted Yield Curve ได้ทำให้เกิด Recession มา 3 รอบแล้ว และตลาดหุ้นก็ล่มสลายกันทั่วโลก นั้นคือวิกฤตปี 1990 ปี 2000 และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2007 เหตุการณ์ครั้งนี้มันดูคล้ายกับปี 2007 มาก

นี้คือสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังกังวลกัน คือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั้นเอง

 

... เราอาจจะกังวลกันมากเกินไป สุดท้ายแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ...

บทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ ชี้ให้เห็นว่า 

จากสถิติปี 1978 - 2005 หลักจากที่เกิด Inverted Yield Curve ตลาดหุ้นอเมริกามักจะปรับตัวสูงขึ้น

เฉลี่ย 3 เดือนหลังจากเกิด Inverted Yield Curve ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.53% เฉลี่ย 6 เดือน เพิ่มขึ้น 4.87%
เฉลี่ย 1 ปี เพิ่มขึ้น 13.48% เฉลี่ย 2 ปี เพิ่มขึ้น 14.73% และ เฉลี่ย 3 ปี เพิ่มขึ้น 16.41%

นี้ก็เป็นตัวอย่างของการเกิด Inverted Yield Curve แต่หุ้นปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามมันไม่แน่นอนเสมอไป บางครั้งก็ปรับตัวลง

อย่างเช่นปี 1998 ก็เกิดเหตุการณ์นี้ในระยะสั้น ทำให้ 3 เดือนแรกหุ้นตกลงไปถึง 0.9% แต่พอผ่านไปอีก 6 เดือน หุ้นก็สามารถบวกขึ้นมาได้และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดถึง 8.49%

ย้อนกลับไปอีกหน่อยในปี 1988 เกิด Inverted Yield Curve ขึ้นในเดือนธันวาคม แต่ตลาดก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จน 3 ปีให้หลัง S&P 500 บวกไป 36.54%

ปี 2005 เกิด Inverted Yield Curve ในเดือนธันวาคม
1 ปีต่อมาปรับตัวเพิ่มขึ้น  = 13.62%
2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น = 18.44%

3 ปี = ผลตอบแทนติดลบ 28.65% ซึ่งเป็นปีที่เกิด Financial Crisis พอดี ...

จากสถิติที่ผ่านมา "ไม่ได้" ยืนยันว่าการเกิด Inverted Yield Curve จะทำให้เกิดสภาวะถดถอยทุกครั้งไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เกิด Inverted Yield Curve มีหลายปัจจัย เช่น การเก็งกำไรพันธบัตรของนักลงทุนรายใหญ่ การมีสภาพคล่องมากเกินไปของสถาบันการเงิน การคาดเดาว่า FED จะลดดอกเบี้ยอีกครั้ง

 ซึ่งในปัจจุบันมีปัจจัยแวดล้อมมากมายที่ไม่เหมือนกับเมื่อ 20 ปี ก่อน เช่น ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาอย่างยาวนาน สถาบันการเงินมีสภาพคล่องสูง

 ดังนั้นเราสรุปได้ว่าการเกิด Inverted Yield Curve ไม่ได้บ่งบอกว่าจะเกิด Recession หรือเศรษฐกิจถดถอยเสมอไป


SiTh LoRd PaCk